วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555
การวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของชาจีนในพื้นที่สูง Research on Yield and Quality Improvement of China teas in Highland
การวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของชาจีนในพื้นที่สูง
Research on Yield and Quality Improvement of China teas in Highland.
บุญธรรม บุญเลา
1
ประสิทธิ์ กาบจันทร
2
สมยศ มีสุข
3
BOONTHAM BOONLAW PRASIT KAPCHAN SOMYOT MEESUK
ฝายพัฒนาเกษตรที่สูง สํานักวิจัยและสงเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแมโจ
----------------------------
บทคัดยอ
การวิจัยเพื่อทดสอบการเจริญเติบโตและการใหผลผลิตของพันธุชาจีนในพื้นที่สูง ณ ศูนย
พัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง ตําบล แมวิน อําเภอแมวาง จังหวัดเชียงใหม ระหวางเดือนตุลาคม
2546 – กันยายน 2550 โดยใชพันธุชาจีนรวมกันทดสอบ 5 สายพันธุ คือ หยวนจืออูหลง No.12
No.7132 HK.3 และสุยเซียน ใชปุยอินทรียรวมทดสอบ 2 ชนิด คือ ปุยคอก และปุยหมัก โดยกําหนด
อัตราสวนการใชปุยอินทรียที่ 4 ระดับ คือ 0, 1, 2 และ 3 กิโลกรัมตอตน โดยวางแผนการทดลองแบบ
Split - split Plot Design ประกอบดวย 4 replications ผลการทดลอง พบวา ชาจีนพันธุ No.12 มี
การเจริญเติบโตในดานความสูง และการแตกกิ่ง เมื่ออายุ 90 วัน สูงที่สุด รองลงมาคือ พันธุสุยเซียน
และการใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุดเมื่ออายุ 2, 3 และ 4 ป คือ พันธุ No.12 รองลงมาคือ พันธุ
No.7132 สวนชนิดปุยอินทรียที่เหมาะสมกับการใชในการปลูกชาจีน คือ ปุยหมัก ในอัตราที่ 3 กิโลกรัม
ตอตน
1
หัวหนาฝายพัฒนาเกษตรที่สูง สํานักวิจัยและสงเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแมโจ
และผูอํานวยการศูนยพัฒนาโครงการหลวงสะโงะ
2
นักวิชาการเกษตรชํานาญการ 8 ระดับ 8 ฝายพัฒนาเกษตรที่สูง สํานักวิจัยและสงเสริมวิชาการการเกษตร
มหาวิทยาลัยแมโจ
3
นักวิชาการเกษตร ฝายพัฒนาเกษตรที่สูง สํานักวิจัยและสงเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแมโจ 1
คํานํา
(Introduction)
ชา (Tea) เปนพืชใบเลี้ยงคูที่จัดอยูในวงศ Theaceae มีชื่อวิทยาศาสตรวา Camellia sinensis
(L.) ชาเปนไมพุมยืนตน จัดเปนพืชสวนอุตสาหกรรมที่ใชประโยชนเปนเครื่องดื่มและผลิตภัณฑอื่น ๆ
อยางกวางขวาง โดยเฉพาะชาใบ (ชาจีน) เปนที่นิยมบริโภคมานานและแพรหลายไปทั่วโลกและใน
ปจจุบันไดมีการปรับปรุงพันธุและคัดเลือกพันธุชาเพื่อผลิตน้ํามัน เพื่อเปนพลังงานทดแทนตอไปใน
อนาคต จีนถือวาเปนชนชาติแรกที่นิยมดื่มน้ําชามานานกวา 2,000 ป สวนในประเทศไทยมีการดื่มน้ํา
ชากันมากในกลุมคนไทยเชื้อสายจีน และกระจายความนิยมไปอยางกวางขวางทั้งชาเมี่ยง ชานม
และน้ําชาพรอมดื่ม จึงมีการนําเขาผลิตภัณฑชาจากตางประเทศเปนจํานวนมาก ถึงแมวาจะมีการ
ผลิตขึ้นไดในพื้นที่สูงทางภาคเหนือบางก็ตาม แตชาที่ผลิตไดยังมีคุณภาพต่ําและไมตรงตามความ
ตองการของผูบริโภค จึงจําเปนตองศึกษาคัดเลือกพันธุชาที่มีคุณภาพดี เหมาะกับการผลิตใน
สภาพแวดลอมของประเทศ เหมาะสมสําหรับการแปรรูป และทําผลิตภัณฑอื่น ๆ กระบวนการแปรรูปชาที่
มีคุณภาพในประเทศไทย สวนใหญจะดําเนินการโดยกลุมคนเชื้อสายจีน (ไตหวัน) บริษัทเอกชน และ
มูลนิธิโครงการหลวง โดยรวมแลวยังถือวาผลิตไดในจํานวนที่นอยเมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคชา
ของคนทั้งประเทศ
วัตถุประสงค
ปจจุบันการปลูกชาจีนประเทศไทย โดยเฉพาะบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือนั้น พบปญหาตาง ๆ
มากมาย เชน พันธุชาที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและความสูงของแตละพื้นที่ การจัดการหลังการเก็บ
เกี่ยวผลผลิต กระบวนการแปรรูปยังไมถูกตอง การเก็บรักษาผลผลิต การบรรจุหีบหอที่เหมาะสม
การตลาดหรือการกระจายสินคาสูผูบริโภคไมดีพอ ทําใหความสําเร็จในการปลูกชาสําหรับเกษตรกร
รายยอยนั้นไมมี นอกจากบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพในทุก ๆ ดานเขามาดําเนินการอยางครบวงจรจน
ประสบผลสําเร็จและมีชื่อเสียง จากปญหาในภาพรวมดังกลาว จึงมีวัตถุประสงคของการวิจัย ดังนี้
1. เพื่อศึกษาหาพันธุชาจีนที่มีการเจริญเติบโตดีและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่
2. เพื่อศึกษาหาชวงระยะเวลาในการตัดแตงกิ่งและทรงพุมที่เหมาะสมในแตละชวงปของการ
เจริญเติบโต
3. ศึกษาการตอบสนองตอการใชปุยอินทรียในระดับแตกตางกัน 2
4. ศึกษาวิธีการแปรรูปผลผลิตของชาจีนที่มีคุณภาพเพื่อการคา
5. เพื่อการถายทอดเทคโนโลยีการผลิตชาจีนไปสูกลุมเกษตรกรในพื้นที่
การตรวจเอกสาร
(Literature review)
ประวัติความเปนมา
ชา (Tea) เปนพืชใบเลี้ยงคูที่จัดอยูในวงศ (Family) Theaceae สกุล (Genus) Camellia L. ซึ่ง
มีอยูประมาณ 45 ชนิด (Species) กระจายอยูในเขตรอนและเขตอบอุนของทวีปเอเชีย ชา ที่ปลูกกัน
เปนการคามีชื่อวิทยาศาสตรวา Camellis sinensis (L.) มีการจําแนกชาออกเปนสามกลุมใหญคือ
กลุมพันธุชาจีน (China Type) กลุมพันธุชาอัสสัม (Assam Type) และกลุมพันธุชาเขมร (Cambode
Type) (สัณห, 2535) กลุมพันธุชาจีนเปนชาที่มีทรงพุมเตี้ย อาจมีหลายลําตน มีความสูงประมาณ
2.75 เมตรหรือมากกวา ใบมีขนาดเล็ก แคบ ขนาดใบกวาง 2-4 ซม. ยาว 6-10 ซม. ใบตั้งตรง ผิวใบแก
กานแข็งกระดาง มีสีเขียวเขม เสนใบมองเห็นไมชัดมีอยู 6-8 คู ขอบใบหยักแบบฟนเลื่อย ปลายใบมี
รูปรางไมแนนอนแลวแตพันธุและสภาพแวดลอม มีขอถี่ ปลองสั้น เจริญเติบโตชา ทนทานตออุณหภูมิ
ต่ําและสภาพแวดลอมผันแปรไดดี ปลูกมากแถบตะวันออกและตะวันตกเฉียงใตของจีน ไตหวันและ
ญี่ปุน (ดุสิต และเกตุอร, 2531 ; สัณห, 2535 ; วิวัฒนและคณะ, 2541)
จากแหลงกําเนิดชาที่กลาวกันวา จีนเปนชนชาติแรกที่รูจักนําใบชามาใชประโยชนในรูปของ
เครื่องดื่ม จนกลายมาเปนเครื่องดื่มประจําชาติ ชาถูกนําเขาญี่ปุนโดยพระภิกษุชาวจีนผานทางประเทศ
เกาหลี หลังจากนั้นในป ค.ศ.1191 การปลูกชาไดกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุน และ ยังมีชาที่มี
แหลงกําเนิดในญี่ปุนขึ้นตามปาบนภูเขาทางตอนใตของเมือง Kanto ซึ่งไดเรียกที่นั่นวา Yamacha
หรือ ภูเขาชา ในปจจุบันแหลงปลูกชาที่สําคัญของโลกกระจายอยูเกือบทั่วทุกทวีป แตแหลงปลูกชาที่
สําคัญ ๆ ไดแก ประเทศจีน ญี่ปุน ไตหวัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ศรีลังกา โรดิเซีย แคมารุน
เคนยา เปรู บราซิล อารเจนตินา อิหราน รัสเซีย ตุรกี และรัฐควีนแลนดของออสเตรเลีย (สัณห, 2535)
แหลงกําเนิดชาตามธรรมชาติ มีจุดศูนยกลางอยูบริเวณตะวันออกเฉียงใตของจีน ใกลกับตน
น้ําอิระวดี และมีการกระจายพันธุตามพื้นที่ จากทิศตะวันตกระหวางเทือกเขามานิปุริ และลูไช ตาม
แนวชายแดนของรัฐอัสสัม และประเทศพมาไปยังจังหวัดซีเกียงของจีนทางดานทิศตะวันออกแลวลงสู
ทางทิศใตตามเทือกเขาของพมาลงมาทางตอนเหนือของไทย ไปสิ้นสุดที่เวียดนาม ลักษณะการ
กระจายตัวเปนแบบรูปพัด โดยมีอาณาเขตจากดานทิศตะวันออกจรดทิศทางทิศตะวันตก กวางถึง 3
1,500 ไมล หรือ 2,400 กม. ระหวางเสนลองติจูด 95° – 120° ตะวันออก และจากทางดานทิศเหนือ
จรดทิศใต มีความยาว 1,200 ไมล หรือ 1,920 กม. ระหวางเสนละติจูดที่ 29° – 11° เหนือ
ชาจีนในประเทศมาเลเซีย ถูกนําพันธุชาจีนเขามาปลูกที่รัฐปนัง ในป ค.ศ.1802 ตอมาใน ป
ค.ศ.1822 ไดมีการนําชาจีนเขาไปปลูกในสิงคโปร จนเปนที่นิยมบริโภคในกลุมคนจีนกันอยาง
แพรหลาย ซึ่งสิงคโปรก็ไดมีการสั่งซื้อตนพันธุชาจีนมาปลูกเพิ่มเติมอีกเปนจํานวนมาก จากประเทศจีน
และอินเดียในป ค.ศ.1893 จึงมีการปลูกชาจีนในลักษณะสวนชาขนาดใหญเพิ่มมากขึ้นจนประสบ
ความสําเร็จโดยเฉพาะที่รัฐยะโฮร และเปรัค ตอมาในป ค.ศ.1910 ไดมีการทดลองปลูกชาบนภูเขาที่
Gunong และชาวจีนไดนําเมล็ดชาจากประเทศจีนมาทดลองปลูกที่รัฐเซลังงอร ตอมากระทรวงเกษตร
ของมาเลเซีย ไดนําเมล็ดชามาจากอินเดียทดลองปลูกบริเวณที่ต่ําของรัฐเซอรดัง และที่สูงบน
Cameron highlands จนกลายเปนแหลงปลูกชาขนาดใหญของประเทศมาเลเซียในปจจุบัน
การปลูกชาในประเทศอินเดีย มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมชา เริ่มขึ้นเมื่อป ค.ศ.1818-1834
บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือ และตอมามีการคนพบชาปาที่เขต เนปาล และมานิเปอร เปนเหตุใหรัฐบาล
จัดตั้งคณะกรรมการดูแลการปลูกชาขึ้นในป ค.ศ.1834 ที่รัฐกัลกัตตา และมีคณะทํางานที่ได
ทําการศึกษาวิจัยคนควาทดลองเกี่ยวกับชาที่สวนพฤกษศาสตรแหงกัลกัตตาโดยไดรับความรวมมือ
และชวยเหลือดานเมล็ดพันธุชาจากประเทศจีน และมีชาปาที่ไดรับการคนพบอีกที่บริเวณภาค
ตะวันออกของอินเดีย เริ่มจากซาดิยาจนถึงพรมแดนของประเทศจีนที่มณฑลยูนาน เมื่อประเทศจีน
ไมใหความชวยเหลือเมล็ดพันธุชาแกอินเดีย ทําใหอินเดียตองเริ่มพัฒนาพันธุชาจากที่มีอยูเดิมไปสูการ
ผลิตเปนระบบอุตสาหกรรมเอง
การปลูกชาในประเทศอินโดนีเซีย เริ่มจากการนําเมล็ดพันธุมาจากประเทศญี่ปุน เมื่อป ค.ศ.
1824 ตอมาระหวางป ค.ศ.1827-1833 รัฐบาลอินโดนีเซียไดสงเจาหนาที่จํานวน 6 คนไปยังประเทศ
จีน เพื่อศึกษาและรวบรวมเมล็ดพันธุชาจีน และคนงานมาผลิตชาทําใหการปลูกชาในอินโดนีเซียถูก
ผูกขาดโดยภาครัฐ มาจนถึงป ค.ศ.1860 ซึ่งในระยะแรกยังไมมีรายไดจากการปลูกชา จนกระทั่งป
ค.ศ.1878 จึงไดมีการนําชาพันธุอัสสัมเขามาปลูก ตอมาในป ค.ศ.1919 มีบริษัทของชาจากประเทศ
อังกฤษ ไดเขามาดําเนินการเพื่อพัฒนาการปลูกชาบนเกาะสุมาตรา ในระหวางสงครามโลกครั้งที่ 2
อุตสาหกรรมชาของอินโดนีเซียก็ไมคอยดีขึ้นเทาที่ควรก็เนื่องมาจากความ ไมแนนอนดานนโยบาย
และเศรษฐกิจ จึงเปนเหตุใหผูผลิตชารายยอย จํานวนถึง 17 % ถูกละเลยไมไดรับการดูแลเอาใจใสจาก
ภาครัฐบาล ในระหวางป ค.ศ.1941-1971 ทําใหพื้นที่การปลูกชาในประเทศอินโดนีเซียลดลงถึง 70 %
ตนชาจึงถูกตัดทําลายไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน
การปลูกชาในประเทศศรีลังกา ไดเริ่มปลูกกันอยางจริงจัง ตั้งแตป ค.ศ.1870 ในระยะเวลา 10
ป มีพื้นที่การปลูกชาเพิ่มขึ้นเปน 5,750 เฮกเตอร ตอมาอีก 15 ป มีพื้นที่ปลูกชาเพิ่มขึ้นเปน 123,400 4
เฮกเตอร ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลศรีลังกาไดมีการสงเสริมการปลูกชาอยางจริงจัง ประกอบกับในขณะนั้น
เกิดโรคราสนิมระบาดกับตนกาแฟเปนครั้งแรก ทําใหพื้นที่การปลูกกาแฟถูกโรคราสนิมทําลายอยาง
ราบคาบ เปนเหตุใหเกษตรกรหันมาปลูกชาแทนอยางรวดเร็ว และกอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ไดมี
บริษัทเอกชนสนใจปลูกชาเพิ่มมากขึ้น แตพื้นที่ถือครองที่ดินพื้นที่ปลูกของศรีลังกาถูกถือครองโดย
เกษตรกรรายยอย โดยมีการถือครองที่ดินประมาณรายละ 4 เฮกเตอร การพัฒนาของบริษัทเอกชนที่
จะทําอุตสาหกรรมชาจึงมีขอจํากัด
การปลูกชาในประเทศรัสเซีย เริ่มแรกที่ Sukhum Botonic Gandens บนฝงทะเลดํา ใน ป
ค.ศ.1847 โดยอุปราชของเมืองคอเคซัส เมื่อตนชาเจริญเติบโตเริ่มใหผลผลิต ทําใหมีความนิยมการ
ปลูกชาเพิ่มมากขึ้น ตอมาป ค.ศ.1884 ไดมีการนําเขาตนกลาชาจากประเทศจีนมาปลูกในพื้นที่
ประมาณ 5.5 เอเคอร จากนั้นไดเริ่มมีกลุมผูสนับสนุนการปลูกชาเพิ่มขึ้นโดยการซื้อพื้นที่สวนบนฝง
ทะเลดํา จํานวน 3 แหง จํานวน 385 เอเคอร สําหรับการปลูกชา โดยการนําเขาเมล็ดชาจากประเทศจีน
อินเดีย และศรีลังกา รวมทั้งมีการจางผูเชี่ยวชาญดานชามาจากประเทศจีน เขามาควบคุมและ
ฝกสอน ทั้งนี้ไดมีการจัดซื้อวัสดุอุปกรณและเครื่องมือการผลิตชามาจากประเทศอังกฤษ ตอมาป ค.ศ.
1900 กระทรวงเกษตรของรัสเซียไดเริ่มจัดตั้งสถานีทดลองการปลูกชาขึ้น และไดนําการขยายพันธุชา
เพื่อแจกจายแกเกษตรกรโดยไมคิดมูลคา จากการดําเนินการดังกลาวทําใหการปลูกชาไดขยายตัวมาก
ขึ้นอยางรวดเร็ว ในป ค.ศ.1905 มีสวนชาอยูเพียง 39 แหง พื้นที่ปลูกชาเพียง 1,100 เอเคอร และในป
ค.ศ.1913 มีสวนชาขนาดใหญเพิ่มขึ้นเปน 146 แหง พื้นที่ปลูกเปน 2,300 เอเคอร และป ค.ศ.1962 มี
พื้นที่ปลูกชาเพิ่มขึ้นเปน 162,800 เอเคอร ปจจุบันประเทศรัสเซียมีแหลงผลิตชากันมากที่รัฐจอรเจีย
ชายฝงทะเลดํา
ในทวีปยุโรป อังกฤษถือเปนประเทศแรกที่รูจักนําใบมาใชประโยชน เมื่อมีการนําเขาใบชาจาก
ประเทศจีน ในป ค.ศ.1657 โดยมีหลักฐานที่ยืนยันไดวาชาวดัทซ เปนผูนําชาไปเผยแพรในประเทศ
อินโดนีเซีย ในขณะที่ชาวอังกฤษเปนผูนําชาเขาไปเผยแพรในประเทศอินเดียและศรีลังกา ตามประวัติ
กลาวไดวา นักพฤกษศาสตรชาวอังกฤษ ชื่อ โรเบิรต ฟอรจูน เปนผูที่มีความสําคัญตอการกําเนิด
อุตสาหกรรมชาที่สรางความมั่งคั่งใหกับประเทศอินเดียในเวลาตอมา โรเบิรต ฟอรจูน เกิดที่เมือง
เมอวิค ในป ค.ศ.1812 และไดรับการฝกอบรมที่ Royal Botanic Gardens ที่เมือง เอดินเบอรก
จากนั้นจึงยายไปปฏิบัติงานประจําที่ Horticultural Society’s Garden เมืองเซสวิค และในป ค.ศ.1843
เขาถูกสงตัวไปประเทศจีนเพื่อดําเนินการรวบรวมไมประดับชนิดใหม ๆ จากจีน ในครั้งนี้โรเบิรต ก็ไดเก็บ
รวบรวมเมล็ดพันธุชาจากแหลงปลูกชาขนาดใหญที่หนิงโป และตอมาไดจัดสงเมล็ดชาไปทดลองปลูก
ที่อัสสัมของประเทศอินเดีย 5
ในแถบทวีปอัฟริกา เริ่มตนการปลูกชาที่ Durban Botanic Gardens ในป ค.ศ.1850 หลังจาก
ที่ประสบความลมเหลวในการปลูกกาแฟมากอน ดังนั้นการปลูกชาเพื่อการอุตสาหกรรมจึงไดเริ่มขึ้นที่
เมืองนาตาล ในป ค.ศ.1877 มีรายงานในป ค.ศ.1943 ไดเขียนไววามีเนื้อที่ปลูกชาอยู 809 เฮกเตอร ใน
ปจจุบันการปลูกชาของอัฟริกาไดขยายตัวออกไปอยางกวางขวางภายใตการสนับสนุนของบริษัทรวม
ทุนขนาดใหญ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมชาของอัฟริกาใต พื้นที่ปลูกชาขนาดใหญอยูบริเวณที่ราบเชิง
เขาดานทิศตะวันออกของเทือกเขา Massif เมืองทรานสวัล และเมืองนาตาล ซึ่งพื้นที่ปลูกชาแหลงใหญนี้
มีระดับความสูงจากระดับน้ําทะเล ประมาณ 900 – 1,200 เมตร จึงมีสภาพอากาศหนาวเย็น การปลูกชา
จึงมีคุณภาพดี อุตสาหกรรมชาที่เกาแกที่สุดของ อัฟริกาอีกแหงหนึ่ง ก็เริ่มที่เมืองมาลาวี โดยมีการ
นําเอาเมล็ดชามาทดลองปลูกครั้งแรกใน ปค.ศ.1878 แตก็ไมประสบความสําเร็จ ตอมาในระหวางป
ค.ศ.1886 – 1888 ไดมีนักสอนศาสนาชนชาติอังกฤษ ไดนําเอาเมล็ดพันธุชามาจาก Kew และ
Edinburgh Botanic Gardens ตนพันธุชาที่ทดลองเพาะปลูกจนสําเร็จเปนแหงแรกในป ค.ศ.1891
ตอมามีการขยายพันธุไปปลูกตอยังประเทศเคนยา อูกานดา และแทนชาเนีย ในชวงระยะเวลาตอมา
อีก ประมาณ 10 ป (ค.ศ.1920 – 1930) การพัฒนาอุตสาหกรรมชาจึงเกิดขึ้นอยางเปนระบบ เพราะใน
ป ค.ศ.1921 – 1925 มีบริษัทเอกชน 3 บริษัท ไดเริ่มปลูกชาขึ้นที่ Rift Valley และใน ป ค.ศ.1924
อุตสาหกรรมของประเทศแทนซาเนีย ไดเริ่มเกิดขึ้นที่เมือง Tukuyu บริเวณที่ราบสูงตอนใตของประเทศ
จากนั้นตอมาก็ไดขยายพื้นที่ปลูกมายังเทือกเขา Usambara ในป ค.ศ.1931 สําหรับในประเทศอู
กานดานั้นการปลูกชาเปนอุตสาหกรรมคอนขางชา โดยเริ่มมีการปลูกชาบางในป ค.ศ.1930 เพียง
เล็กนอยเทานั้น
ในเขตทวีปออสเตรเลีย ไดมีการนําเอาเมล็ดพันธุชาจาก Kew Botanic Gardens ประเทศ
อังกฤษ เขามาเริ่มทดลองปลูกที่รัฐควีนสแลนด ตอมาในป ค.ศ.1936 สถานีวิจัย South Johnstone ได
นําเมล็ดพันธุชามาจากไรทดลอง บานามา มาทดลองปลูก และในป ค.ศ.1942 จึงไดนําไปทดลองปลูก
ในสถานีในพื้นที่ประมาณครึ่งเอเคอร งานทดลองชาจึงเริ่มขึ้นอยางเปนระบบในป ค.ศ.1950 และ
ตอมาในป ค.ศ.1960 มีบริษัทเอกชน 3 แหง ที่ตั้งอยูที่ Nerada และ Tully จึงไดคิดคนกรรมวิธีในการ
เก็บเกี่ยวผลผลิตชาโดยใชเครื่องจักรทดแทนการใชแรงงานคน
ในปจจุบันแหลงปลูกชาที่สําคัญของโลกจึงถูกกระจายตัวอยูทุกทวีป โดยเริ่มจากเสนละติจูดที่
40° เหนือถึง 30° ใต
สําหรับการปลูกชาในประเทศไทย พบตนชาที่มีแหลงกําเนิดอยูเดิมตามภูเขาทางภาคเหนือ
ของประเทศ แหลงปลูกไดกระจายอยูในหลายจังหวัดแถบภาคเหนือที่สําคัญ ไดแก 6
จังหวัดเชียงใหม : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอดอยสะเก็ด แมริม แมแตง จอมทอง ฝาง
อมกอย ไชยปราการ แมอาย สะเมิง เชียงดาว แมทา พราว แม
แจม และแมวาง
จังหวัดเชียงราย : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง แมจัน แมฟาหลวง แมสรวย เวียงปา
เปา เทิงและปาแดด
จังหวัดพะเยา : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง ปง และเชียงคํา
จังหวัดแมฮองสอน : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง ปาย ปางมะผา แมสะเรียง
แมลานอย และขุนยวม
จังหวัดนาน : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง และปว
จังหวัดแพร : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง
จังหวัดลําปาง : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมืองปาน และวังเหนือ
จังหวัดตาก : มีแหลงปลูกชาที่อําเภอเมือง และพบพระ
คณะทํางานโครงการวิจัยชาของมูลนิธิโครงการหลวง ไดทําการออกสํารวจชาปา และไดพบ
ตนชาเกาแกอายุหลายสิบป มีเสนผาศูนยกลางลําตน 0.5 เมตร พบที่บานไมฮุง อําเภอปางมะผา
จังหวัดแมฮองสอน บริเวณเขตติดตอชายแดนไทยพมา ตนชาที่พบเปนชาอัสสัม (Assan tea)
เนื่องจากเปนตนชาที่มีขนาดใหญมาก ชาวบานในพื้นที่จึงเรียกวาตนชาพันป จากขอมูลการสํารวจตน
ชาปาที่มีขนาดใหญ สามารถพบไดอีกตามบริเวณเทือกเขาสูงของจังหวัดแพรและนาน สวนชาสวน
ใหญทางภาคเหนือเปนสวนเกา ไดจากการตัดโคนไมปาธรรมชาติออกไป เหลือไวแตตนชาปา ที่
ชาวบานสวนใหญนิยมเรียกวา สวนเมี่ยง จึงมีจํานวนตนตอไรคอนขางต่ํา ประมาณ 150 – 250 ตนตอ
ไร ผลผลิตสดของใบชาตอไรก็ต่ําไปดวยเพียง 140 – 220 กก.ตอไร การเก็บใบชาเมี่ยงนิยมใชมือรูดทั้ง
กิ่ง จะมีทั้งใบออน และใบแกปานกลาง แลวนําไปผลิตโดยการหมักทําเมี่ยง ในบางฤดูกาลถาราคา
เมี่ยงสูง ชาปาเหลานี้ก็จะถูกผลิตเปนชาเมี่ยง แตถาราคาเมี่ยงตกต่ํา เกษตรกรก็จะเก็บใบชาปา
ดังกลาวไปจําหนายยังโรงงานผลิตชาจีนขนาดเล็ก เพื่อการแปรรูปทําใหผลิตภัณฑ ชาจีนที่ไดมี
คุณภาพต่ํา ปจจุบันมีการสงเสริมการปลูกชาจีนเพิ่มขึ้นโดยบริษัทเอกชนเพื่อการแปรรูปมากขึ้น เชน
พื้นที่ดอยแมสลอง อําเภอแมจัน จังหวัดเชียงราย พื้นที่ดอยวาวี อําเภอเมือง จังหวัด เชียงราย และมีพื้นที่
สงเสริมของมูลนิธิโครงการหลวงที่ศูนยพัฒนาโครงการหลวงมอนเงาะ อําเภอแมแตง ศูนยพัฒนา
โครงการหลวงขุนวาง อําเภอแมวาง ศูนยพัฒนาโครงการหลวงแมปูนหลวง อําเภอเวียงปาเปา ศูนย
พัฒนาโครงการหลวงหวยน้ําขุน อําเภอแมสรวย สถานีเกษตรหลวงอางขาง อําเภอฝาง จังหวัด
เชียงใหม โดยไดมีการผลิตการแปรรูป การบรรจุหีบหอ และการจัดจําหนายอยางเปนระบบครบวงจร 7
จนเกษตรกรผูรวมในโครงการมีรายไดจากการปลูกชาจีนติดตอกันอยางตอเนื่อง และมีรายไดตอไร
คอนขางสูง จะเห็นไดวาเกษตรกรผูปลูกชาจีนปจจุบันจะตองมีระบบโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อการแปร
รูปและการจัดจําหนายที่ดี เกษตรกรจึงจะสามารถยึดเปนอาชีพได ถาปลอยใหเกษตรกรดําเนินการเอง
อยางครบวงจรแลวไมนาจะทําได ก็เพราะวากระบวนการแปรรูปมีหลายขั้นตอน มีความละเอียดออน
จะตองปฏิบัติตามขั้นตอนโดยเครงครัด และตองใชความชํานาญ สวนบุคคลมาปฏิบัติงาน จึงจะประสบ
ความสําเร็จได จากอดีตที่ผานมา ชาปา หรือชาเมี่ยงเปนการเก็บชาจากปามาหมักตามวิธีแบบพื้นบาน
ไมมีโรงงานอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานมารองรับ การผลิตชาดังกลาวจึงไมแนนอน รายไดจึงต่ํา
ประกอบกับผูบริโภครุนใหม ๆ ไมสนใจที่จะบริโภคเมี่ยง จึงทําใหชาเมี่ยงเริ่มมีการผลิตลดลง
การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของประเทศไทย ไดเริ่มขึ้นอยางจริงจังในป พ.ศ.2480 โดยมีนาย
ประสิทธิ์และนายประธาน พุมชูศรี สองพี่นองไดเริ่มกอสรางโรงงานชาขนาดเล็กขึ้นที่อําเภอ แมแตง
จังหวัดเชียงใหม และรับซื้อใบชาสดจากชาวบานที่ทําเมี่ยงอยูแลว มาผลิตเปนชาจีน (ชาเขียว) แต
ไมประสบความสําเร็จ พบปญหา อุปสรรค หลายประการ เชน ใบชาสดไมมีความสม่ําเสมอ มีคุณภาพ
ต่ํา ปริมาณมีไมเพียงพอ เกษตรกรขาดความรูความชํานาญในการเก็บเกี่ยวยอดชา และการตัดแตงกิ่ง
ชา เพื่อสรางทรงพุมและผลิตยอดรุนใหมที่มีคุณภาพ สวนที่อําเภอฝางนั้น มีนายพร เกี่ยวการคา ได
รูจักผูเชี่ยวชาญทางดานชาชาวฮกเกี้ยน จากประเทศจีน มาใหคําแนะนําถายทอดความรูใหกับ
เกษตรกรและนักวิชาการไทยที่สนใจเรื่องชา ตอมาในป พ.ศ.2482 สองพี่นองตระกูลพุมชูศรี ไดหา
ทางแกไขปญหาวัตถุดิบกอนเขาโรงงานโดยเริ่มปลูกชาเปนของตนเอง โดยใชเมล็ดพันธุชาพื้นเมืองมา
ทําการเพาะปลูกสวนชาแหงใหมนี้ตั้งอยูที่บานแกงพันเตา อําเภอเชียงดาว ในพื้นที่ปลูกประมาณ 100
ไร ตอมาไดขยายพื้นที่ปลูกไปที่บาน เมืองกึด บานชาง ตําบลสันมหาพล อําเภอแมแตง ตอมาในป
พ.ศ.2508 ไดมีการสงเสริมการปลูกชามากขึ้น จึงไดขอสัมปทาน การทําสวนชาจากกรมปาไม จํานวน
2,000 ไร ที่บานปางหวยตาก ตําบลอินทขิน อําเภอแมแตง ในนามของ บริษัท ชาระมิงค และทําสวน
ชาเพิ่มที่ตําบลสันมหาพล อําเภอแมแตง ในนามของบริษัท ชาบุญประธาน ชาที่ผลิตไดสวนใหญจะ
เปนชาฝรั่ง ตอมาไดมีเอกชนเริ่มใหความสนใจอุตสาหกรรมการผลิตชามากขึ้น เพราะวาตลาดเริ่ม
กระจายตัวมากขึ้นมาโดยตลอด ในป พ.ศ.2530 บริษัท ชาระมิงค ของพี่นองตระกูลพุมชูศรี ไดขาย
สัมปทานสวนชาใหแกบริษัท ชาสยาม จากนั้นบริษัท ชาสยาม ก็ไดขยายพื้นที่สงเสริมการปลูกชาให
เพิ่มมากขึ้นใหเกษตรกรในบริเวณใกลเคียงเปนลูกไร โดยการปลูกชาแบบใหม และรับซื้อใบชาสดจาก
เกษตรกร นํามาผลิตเปนชาฝรั่งในนามชาลิปตันจนถึงปจจุบัน มีผูประกอบกิจการใบชาที่จดทะเบียน
อยางถูกตองกับโรงงานอุตสาหกรรม ไมนอยกวา 20 ราย ในเขตภาคเหนือ ซึ่งทําการผลิตทั้งชาจีนและ
ชาฝรั่ง 8
สวนในภาครัฐนั้น การสงเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไดเริ่มขึ้นในป พ.ศ.2483 โดย
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณสมัยนั้น คือ มล.เดช สนิทวงศ อธิบดีกรมสงเสริมการเกษตรคือคุณ
พระชวง เกษตรศิลปะการ และหัวหนากองพืชสวน มจ.ลักษณากร เกษมสันต ไดเดินทางไปสํารวจหา
แหลงที่จะทําการปลูกและปรับปรุงพันธุชาที่อําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม และไดเลือกบริเวณโปงน้ํา
รอน เปนพื้นที่ทดลองปลูกชา โดยตั้งเปนสถานีทดลองพืชสวนฝาง โดยมีนายพวง สุวรรณธาดา เปน
หัวหนาสถานี ระยะแรกเมล็ดพันธุชาที่ใชปลูกก็ไดทําการเก็บจากทองที่ตําบลมอนปน และดอยขุนสวย
ที่มีตนชาปาเกิดขึ้นอยูแลว ตอมาไดมีการนําเมล็ดชาพันธุดีมาจากประเทศอินเดีย ไตหวัน และญี่ปุน
มาทดลองปลูก เพื่อเปรียบเทียบกับพันธุเดิมที่มีอยู และไดทําการคนควาวิจัยตอไปในสวนของกรม
วิชาการเกษตรนั้น ก็ไดขยายการศึกษาทดลองเกี่ยวกับชามากขึ้น โดยไปปลูกยังสถานีเกษตรที่สูง
หลายแหง เชน สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ จังหวัดตาก สถานีทดลองเกษตรที่สูง ดอยวาวี จังหวัด
เชียงราย และสถานีทดลองเกษตรที่สูงแมจอมหลวง จังหวัดเชียงใหม และในป พ.ศ.2528 ฝายรักษา
ความมั่นคงแหงชาติ ไดริเริ่มโครงการปลูกชา ในพื้นที่หมูบาน อพยพ 6 แหง คือ บานหนองอุก บานแก
นอย แมแอบ ถ้ํางอบ ถ้ําเปยงหลวง และแมสลอง โดยหมูบานเหลานี้จะมีคนเชื้อสายจีนฮออาศัยอยู ซึ่ง
ใหอยูในความควบคุมดูแลของ บก.04 โครงการนี้ไดรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลไตหวัน
จัดสงเมล็ดชาพันธุดีมาปลูก พรอมทั้งสงผูเชี่ยวชาญมาถายทอดเทคนิคการปลูก การแปรรูป อีก 3 ป
ตอมา ประมาณ ป พ.ศ.2525 มีการปลูกชามากขึ้นที่ดอยแมสลอง จึงไดมีการจัดตั้งสหกรณใบชาแมสล
อง ที่บานแมสลอง อําเภอแมจัน จังหวัดเชียงราย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร
ระบบราก (Root system)
ตนกลาชาที่มาจากการเพาะเมล็ด จะเปนระบบรากแกวที่หยั่งลึก 1.5 – 3 เมตร และมี
รากฝอยกระจายอยูรอบเพื่อหาอาหาร ในสวนของตนกลาชาที่มาจากการปกชํากิ่งก็จะไมมีรากแกว มี
แตระบบรากฝอยที่กระจายอยูรอบลําตนเพื่อพยุงลําตนและการหาอาหาร
ใบ (Leaves)
ใบชามีสีเขียวเขมเปนมัน มีการจัดเรียงตัวของใบแนบ alternate แผนใบหนาเหนียว
ขอบใบหยักแบบฟนเลื่อย มีความกวาง ตั้งแต 3 - 6 ซม. และความยาว ตั้งแต 3 - 30 ซม. ใตใบมีขน
ออนปกคลุม ปากใบพบมากบริเวณใตใบ ขนาดใบของกลุมพันธุชาจีนจะมีขนาดเล็กกวากลุมพันธุ
ชาอัสสัม 9
ดอก (Flowers)
ดอกของชามีทั้งดอกเดี่ยวและดอกชอ จํานวน 2 – 4 ดอก เกิดบริเวณตําแหนง ตา
ขางของกิ่ง กานดอกสั้น ดอกมีกลิ่นหอม มีขนาดเสนผาศูนยกลางดอก 2.5 – 4 ซม. มีกลีบดอก 5 – 7
กลีบ กลีบเลี้ยง 5 – 7 กลีบ ดอกบานมีสีขาวหรือขาวอมชมพู รูปกลีบดอกเปนแบบ obovate ลักษณะ
โคงเวา มีเกสรตัวผูจํานวนมาก ยาว 5 – 12 ซม. อับเรณูมีสีเหลือง 2 ชอง กานชูเกสรตัวเมียสั้นแยกได
3 – 5 lobes
ผล (Fruits)
ผลของชาเปนแบบ capsule เปลือกหนามีสีน้ําตาลอมเขียว แบงเปน 3 ชอง ขนาด
เสนผาศูนยกลางผล 1.5 – 2.0 ซม. ใชเวลาจากเริ่มติดผลพัฒนาจนแกเต็มที่ 9 – 12 เดือน เมื่อผลแก
เปลือกจะมีลักษณะขรุขระ ผลที่แกเต็มที่จะแหงและแตก โดยเริ่มแตกจากสวนปลายของผลกอน
เมล็ด (Seeds)
ในผลจะมี 1 – 3 เมล็ด มีรูปรางกลมอีกดานหนึ่งแบน ขนาดเสนผาศูนยกลางของ
เมล็ด 1.0 – 1.5 ซม. เมล็ดมีเปลือกบางสีน้ําตาลออน ใบเลี้ยงอวบหนาเต็มไปดวยน้ํามัน จํานวนเมล็ด
ตอน้ําหนัก 1 ปอนด ประมาณ 230 เมล็ด
การจําแนกพันธุชา (Tea classification)
พันธุ (Varieties)
พันธุชาที่ปลูกเปนการคาทั่วโลกแบงได 3 กลุมใหญ
1. กลุมพันธุชาจีน (China Teas) ลักษณะทรงตนเปนพุมเตี้ย อาจมีลําตนสูง 2.75
เมตร ใบมีขนาดเล็ก แคบ มีขนาด 3 – 6 ซม. ความยาวใบขนาด 7 – 15 ซม. ใบมีสีเขียว แข็ง
กระดาง ขอบใบหยักแบบฟนเลื่อย มีขอถี่ ปลองสั้น เจริญเติบโตชา ทนทานตออุณหภูมิต่ําไดดี ให
ผลผลิตต่ําเมื่อเทียบกับกลุมพันธุชาอัสสัม เปนกลุมที่ไดรับความนิยมมากที่สุดและมีการกระจายการ
บริโภคไปอยางกวางขวางทั่วโลก
2. กลุมพันธุชาอัสสัม (Assam Teas) เปนไมลําตนเดี่ยวตั้งตรงคอนขางใหญ มีความ
สูง ประมาณ 6 – 18 เมตร เจริญเติบโตเร็ว ใบมีขนาดใหญ ดอกเปนดอกชอ ชอละ 2 – 4 ชอ ทนอากาศ
แหงแลงและปรับตัวเขากับสภาพอากาศเขตรอนไดดี
3. กลุมพันธุชาเขมร (Cambodia Teas) มีลําตนเดี่ยว สูงประมาณ 5 เมตร ใบ
แข็งแรงเปนมัน ใบยาวประมาณ 7 - 8 ซม. ขอบใบหยักแบบฟนเลื่อย แผนใบมวนงอเปนรูปคลาย ตัวดี
กานใบมีสีออกแดง ในฤดูแลงสีใบออกสีแดงเรื่อ ๆ ยอดออนมีรสฝาดจัด 10
พันธุชาจีนที่นิยมแตกตางกันในแตละทองถิ่น เชน พันธุซิงซิงอูหลง หวูยิ ซิงซิงตาพัง
เตไกวอิน จือหลาน ตาเยอูหลง หวงกวาน สุยเซียน ยาบูกิตะ (สัณห, 2535) ในปจจุบันอาจจะมีการ
ผสมขามพันธุและคัดเลือกลักษณะที่ดีซึ่งเปนลูกผสมใหมแลวตั้งชื่อใหมตามแหลงผลิต เชน พันธุแม
จอนหลวง เบอร 1 – เบอร 4 หวยน้ําขุน เบอร 4 และเบอรอื่น ๆ อีกหลายสายพันธุ
เวลาและสถานที่
เวลา : ตั้งแตเดือนตุลาคม 2547 ถึงเดือนกันยายน 2550
สถานที่ : ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ตําบลแมวิน อําเภอแมวาง
จังหวัดเชียงใหม
อุปกรณและวิธีการดําเนินงาน
(Materials and Methods)
อุปกรณ
1. ตนกลาพันธุชาจีน จํานวน 5 สายพันธุ คือ
- หยวนจืออูหลง
- สุยเซียน
- No. 12
- No. 7132
- HK. 3
2. ปุยคอก
3. ปุยหมัก
4. ปุยเคมี สูตร 15-15-15
5. สารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืช
6. ปูนขาว
7. แกลบดิบ (เปลือกขาว)
8. ทอประปาและอุปกรณที่เกี่ยวของ
9. อุปกรณการเกษตรอื่น ๆ ที่จําเปน 11
วิธีดําเนินงาน
1. วางแผนการทดลองแบบ Randomized Completed Block Design (RCBD) ประกอบไป
ดวย 4 Replications และ 5 Treatments (พันธุ) ไดแก ชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง (กานออน), สุยเซียน
, No.12, No.7132 และ HK3
2. การเตรียมแปลงปลูก โดยการไถดะ ตากดินทิ้งไว 10 วัน เพื่อกําจัดเมล็ดวัชพืช และ
แมลงในดิน
- ไถพรวนเพื่อใหดินแตกละเอียด และรวนซุย เตรียมแปลงปลูกโดยการขุดรองลึก 40
ซม. โดยประมาณ
3. ใสแกลบดิบ (เปลือกขาว) ลงไปตามรอง ๆ ละ เทา ๆ กัน ใสปุยคอกและปุยหมักลงไปใน
รองปลูกตามระยะปลูกในอัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3 ตอหลุมปลูกชาจีน แลวคลุกใหเขากันตามรองปลูก
โดยใชระยะปลูก ระหวางตน 50 ซม. ระหวางแถว 120 ซม. ตามผังการทดลอง
4. เตรียมตนกลาชาจีน 5 สายพันธุ คือ หยวนจืออูหลง, เบอร 12, สุยเซียน, HK.3 และ เบอร
7132 และปลูกชาจีน 5 สายพันธุตามผังการทดลอง
5. วางระบบน้ําหยดในแปลงปลูก
6. คลุมโคนตนชาจีนทั้งแปลงปลูกดวยแกลบดิบ (เปลือกขาว) เพื่อควบคุมวัชพืชและการ
รักษาความชื้นในดิน
7. ปลูกซอมแซมตนชาจีนที่ตายเนื่องจากการปลูกในฤดูแลง
8. ควบคุมการใหน้ํา ใหแปลงชาจีนไดน้ําอยางพอเพียงแกการเจริญเติบโต (งดใหน้ําวันที่มี
ฝนตก)
9. ใสปุยเคมี สูตรเสมอ 15 : 15 : 15 อัตราตนละ 1 ชอนชา ทุก ๆ 15 วัน
10. ใสปุยคอก และปุยหมัก รอบตนพรอมพรวนดินกลบโคนตนในอัตรา 0 : 1 : 2 : 3 โดย
น้ําหนักทุก ๆ 4 เดือน
11. ตัดแตงกิ่งเพื่อจัดทรงพุมและการดูแลรักษาความสะอาดในแปลงปลูก
12. เก็บเกี่ยวผลผลิตหลังจากปลูกได 2 ป โดยเก็บเกี่ยวหลังจากตัดแตงกิ่งแลว 50- 55 วัน
เฉลี่ย 60 วันตอครั้ง (รวมทั้งตัดแตงกิ่ง) 1 ป จะทําการเก็บเกี่ยวผลผลิตได 6 ครั้ง ยกเวน ปที่ 2 จะทํา
การเก็บเกี่ยวเพียง 3 ครั้ง เนื่องจากชาจีนกําลังเจริญเติบโตสรางทรงพุมและผลผลิตที่เก็บเกี่ยวไดนั้นยัง
มีปริมาณต่ํา ตั้งแตปที่ 3 เปนตนไป ผลผลิตจะมีมากขึ้นเปนลําดับและจะมีคุณภาพสูงมากขึ้นดวย
13. การเก็บขอมูล จากตนที่สุมไวแลวแถวละ 10 ตน โดยแตละแปลง (Treatment หรือพันธุ)
ปลูก 4 แถว ๆ ละ 50 ตน ตนที่ 1-25 ใชศึกษาระดับการใชปุยคอกในอัตราสวน 0 : 1: 2 : 3 โดยน้ําหนัก 12
จะสุมตัวอยางไว 5 ตน และตั้งแตตนที่ 26 – 50 ใชสําหรับศึกษาระดับการใชปุยหมักในอัตราสวน 0 : 1
: 2 : 3 โดยน้ําหนักซึ่งจะสุมตัวอยางไวอีก 5 ตน
HK.3
หยวนจืออูหลง
No.7132
สุยเซียน
No.12
Rep.1
No.12
No.7132
HK.3
หยวนจืออูหลง
สุยเซียน
Rep.3
หยวนจืออูหลง
No.12
สุยเซียน
HK.3
No.7132
Rep.4
สุยเซียน
HK.3
No.7132
No.12
หยวนจืออูหลง
Rep.2
ภาพที่ 1 แสดงผังการทดลอง13
ภาพที่ 2 แสดงเตรียมพื้นที่แปลงวิจัยชาจีน
ภาพที่ 3 แสดงตนกลาชาจีนที่ปลูกและระบบการใชน้ําในแปลงวิจัย14
ภาพที่ 4 แสดงการดูแลรักษาแปลงวิจัยชาจีน
ภาพที่ 5 แสดงการตัดแตงกิ่งชาจีน
R4 T1
R1 T2 R2 T3
R3 T4 R4 T515
ภาพที่ 6 แสดงชาจีน พันธุ หยวนจืออูหลง
R4 T1
ภาพที่ 7 แสดงชาจีน พันธุ No.12
R4 T216
ภาพที่ 9 แสดงชาจีน พันธุ HK.3
ภาพที่ 8 แสดงชาจีน พันธุ No.7132
R3 T3
R3 T417
ภาพที่ 10 แสดงชาจีน พันธุ สุยเซียน
R1 T518
ภาพที่ 11 แสดงยอดออนของชาจีนทั้ง 5 สายพันธุ
ภาพที่ 12 แสดงใบชาจีนทั้ง 5 สายพันธุที่สมบูรณเต็มที่19
ผลการทดลอง
การทดลองที่ 1 ศึกษาผลของพันธุชาจีน ในการทดสอบพันธุชาจีนบนที่สูง ในพื้นที่ศูนยพัฒนา
โครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ตําบลแมวิน อําเภอแมวาง จังหวัดเชียงใหม โดยใชพันธุชาจีนที่มี
การปลูกเปนการคามาศึกษา จํานวน 5 สายพันธุ คือ หยวนจืออูหลวง No.12 No.7132 HK.3 และ
สุยเซียน ผลปรากฏดังนี้
1.1 การเจริญเติบโตทางดานความสูง ที่อายุหลังการยายปลูกได 90 วัน ซึ่งพันธุ No.12 มีการ
เจริญเติบโตดีที่สุด คือ 49.87 เซนติเมตร รองลงมาคือ สุยเซียน HK.3 No.7132 เทากับ 47.19
เซนติเมตร 46.06 เซนติเมตร 45.43 เซนติเมตร ตามลําดับ แตพันธุหยวนจืออูหลงมีการเจริญเติบโต
ชาที่สุด คือ 27.91 เซนติเมตร (ตารางที่1)
1.2 ไดเปรียบเทียบการแตกกิ่งตอตนของชาจีนทั้ง 5 สายพันธุ หลังจากการยายปลูกได 90
วัน พบวา พันธุ No.12 มีการแตกกิ่งมากที่สุด คือ 4.63 กิ่ง รองลงมา คือ สุยเซียน No.7132 และ HK.3
จํานวนกิ่งเทากับ 4.44, 4.42 และ 4.30 กิ่ง ตามลําดับ สวนพันธุหยวนจืออูหลง มีการแตกกิ่งนอยที่สุด
คือ 4.29 กิ่ง (ตารางที่ 1)
1.3 จากการทดสอบการเก็บเกี่ยวผลผลิตในชวงปที่ 2 หลังยายปลูก เก็บเกี่ยวจํานวน 3 ครั้ง
ผลผลิตเฉลี่ยปรากฏวา พันธุ No.12 ไดผลผลิตยอดชาสดมากที่สุด คือ 505.2 กิโลกรัมตอไร รองลงมา
คือ HK.3 สุยเซียน และ No.7132 ไดผลผลิตที่ 494.2 493.7 และ 793.6 กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ
สวนพันธุหยวนจืออูหลงใหผลผลิตชาสดต่ําที่สุด คือ 358.3 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 1)
1.4 จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตชาจีนหลังจากการปลูกได 3 ปทําการเก็บเกี่ยวผลผลิตยอดชา
สด จํานวน 6 ครั้ง แลวปรากฏวาพันธุ No.12 ใหผลผลิตยอดชาสดตอไรสูงที่สุด คือ 1,213 กิโลกรัมตอ
ไร รองลงมาคือ No.7132 HK.3 และสุยเซียน เก็บเกี่ยวยอดชาสดได 1,147, 1,129 และ 1,125
กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ สวนพันธุหยวนจืออูหลง ใหผลผลิตยอดชาสดต่ําที่สุดคือ 946.7 กิโลกรัมตอ
ไร (ตารางที่ 1)
1.5 จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตชาจีนหลังจากการปลูกได 4 ปทําการเก็บเกี่ยวผลผลิตยอดชา
สดจํานวน 6 ครั้ง แลวปรากฏวา พันธุ No.12 ใหผลผลิตยอดชาจีนสดตอไรสูงที่สุดคือ 1,265 กิโลกรัม
ตอไร รองลงมาคือ No.7132 สุยเซียน และ HK.3 เก็บเกี่ยวยอดชาสดได 1,247 1,220 และ 1,216
กิโลกรัมตอไรตามลําดับ สวนพันธุหยวนจืออูหลง ใหผลผลิตยอดชาสดต่ําที่สุด คือ 1,133 กิโลกรัมตอไร
(ตารางที่ 1) 20
ตารางที่ 1 ผลของพันธุชาจีน (Main plot) ที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง และจํานวนกิ่งตอตน
เมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
พันธุ ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสดปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 4
(กก./ไร)
หยวนจืออูหลง 27.91
e
4.29
c
358.3
c
946.7
d
1,133
d
No. 12 49.87
a
4.63
a
505.2
a
1,213
a
1,265
a
No. 7132 45.34
d
4.42
b
493.6
b
1,147
b
1,247
ab
HK.3 46.06
c
4.30
c
494.2
b
1,129
c
1,216
c
สุยเซียน 47.19
b
4.44
b
493.7
b
1,125
c
1,220
bc
F - test ** ** ** ** **
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบ โดยวิธี LSD 21
การทดลองที่ 2 ศึกษาผลของชนิดปุยที่มีตอขนาดของความสูงตน จํานวนกิ่งตอตน เมื่ออายุครบ
90 วัน และผลผลิตยอดชาจีนสดในปที่ 2, 3 และ 4 ดังนี้
2.1 ไดทําการศึกษาชนิดปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก และปุยหมัก ในชาจีน 5 สายพันธุ
คือ หยวนจืออูหลง No.12 No.7132 HK.3 และ สุยเซียน พบวา ในดานการเจริญเติบโตทางความ
สูง ผลปรากฏวา การใชปุยหมักมีผลการเจริญเติบโตทางความสูงดีกวา คือ 43.78 เซนติเมตร แตปุย
คอกมีการเจริญเติบโตทางความสูงเพียง 42.77 เซนติเมตร (ตารางที่ 2)
2.2 การศึกษาทางดานการแตกกิ่งของชาจีน 5 สายพันธุ จากการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด ผล
ปรากฏวา การใชปุยหมักมีการแตกกิ่งมากกวาที่ 4.44 กิ่งตอตน สวนการใชปุยคอกมีการแตกกิ่งเพียง
4.39 กิ่งตอตนเทานั้น (ตารางที่ 2)
2.3 การศึกษาทางดานการใหผลผลิตของชาจีน 5 สายพันธุ ในปที่ 2 ผลปรากฏวาการใชปุย
หมักใหผลผลิตยอดชาจีนสดมากกวา คือ 465.1 กิโลกรัมตอไร สวนการใชปุยคอก ใหผลผลิตนอยกวา
เพียง 472.9 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 2)
2.4 การศึกษาทางดานการใหผลผลิตของชาจีน 5 สายพันธุ ในปที่ 3 ผลปรากฏวา การใชปุย
หมักใหผลผลิตยอดชาสดมากกวา คือ 1,128 กิโลกรัมตอไร สวนการใชปุยคอกใหผลผลิตนอยกวา
เพียง 1,096 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 2)
2.5 การศึกษาทางดานการใหผลผลิตของชาจีน 5 สายพันธุ ในปที่ 4 ผลปรากฏวา การใชปุย
หมักใหผลผลิตยอดชาจีนสดมากกวา คือ 1,240 กิโลกรัมตอไร สวนการใชปุยคอกผลผลิตนอยกวา
เพียง 1,192 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 2)
ตารางที่ 2 ผลของชนิดปุย (Sub plot) ที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง และจํานวนกิ่งตอตนเมื่ออายุ 90 วัน
และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
ชนิดปุย ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสดปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 4
(กก./ไร)
ปุยคอก 42.77
b
4.39
b
465.1
b
1,096
b
1,192
b
ปุยหมัก 43.78
a
4.44
a
472.9
a
1,128
a
1,240
a
F - test ** ** ** ** **
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD 22
การทดลองที่ 3 ศึกษาทางดานผลของการใชอัตราปุยอินทรีย 2 ชนิด ปุยคอก และปุยหมัก ในชาจีน 5
สายพันธุคือ หยวนจืออูหลง No.12 No.7132 HK.3 และ สุยเซียน โดยใสในอัตราที่แตกตางกัน โดย
น้ําหนัก คือ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน ตามลําดับทุก 4 เดือน สรุปผลไดดังนี้ คือ
3.1 การศึกษาอัตราปุยที่มีผลตอการเจริญเติบโตของชาจีน 5 สายพันธุ เมื่ออายุได 90 วันผล
ปรากฏวาการใชอัตราปุยที่ 3 กิโลกรัมตอตน มีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุด คือ 47.53 เซนติเมตร
รองลงมาคือการใชอัตราปุยที่ 2 และ 1 กิโลกรัมตอตน คือ 45.81 และ 42.64 เซนติเมตรตามลําดับ
สวนการใชอัตราปุยที่ 0 กิโลกรัมตอตน มีการเจริญเติบโตต่ําที่สุด คือ 37.11 เซนติเมตร (ตารางที่ 3)
3.2 การศึกษาอัตราปุยอินทรียที่มีผลตอการแตกกิ่งของชาจีน ทั้ง 5 สายพันธุ ผลปรากฏวา
การใชอัตราปุยที่ 2 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่งสูงที่สุด คือ 4.57 กิ่ง รองลงมา คือ การใชอัตราปุยที่ 3
และ 1 กิโลกรัมตอตน คือ 4.56 และ 4.44 กิ่ง สวนการใชอัตราปุยที่ 0 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่งต่ํา
ที่สุด คือ 4.09 กิ่ง (ตารางที่ 3)
3.3 การศึกษาอัตราปุยอินทรียที่มีผลตอการใหผลผลิตปที่ 2 ของชาจีน 5 สายพันธุ ผลปรากฏ
วา การใชอัตราปุยที่ 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,308 กิโลกรัมตอไร รองลงมา
คือ การใชอัตราปุย ที่ 2 และ 1 กิโลกรัมตอตน คือ 1,224 และ 1,046 กิโลกรัมตอไรตามลําดับ สวนการ
ใชอัตราปุยที่ 0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 406.9 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 3)
3.4 การศึกษาอัตราปุยอินทรียที่มีตอการใหผลผลิต ปที่ 3 ของชาจีน 5 สายพันธุ ผลปรากฏ
วา การใชอัตราปุยที่ 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,308 กิโลกรัมตอไร รองลงมา
คือ การใชอัตราปุยที่ 2 และ 1 กิโลกรัมตอตน คือ 1,224 และ 1,046 กิโลกรัมตอไรตามลําดับ สวนการ
ใชอัตราปุยที่ 0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 870.2 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 3)
3.5 การศึกษาอัตราปุยอินทรียที่มีตอการใหผลผลิต ปที่ 4 ของชาจีน 5 สายพันธุ ผลปรากฏ
วา การใชอัตราปุยที่ 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,330 กิโลกรัมตอไร รองลงมา
คือ การใชอัตราปุยที่ 2 และ 1 กิโลกรัมตอตน คือ 1,275 และ 1,180 กิโลกรัมตอไรตามลําดับ สวนการใช
อัตราปุยที่ 0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 1,079 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 3) 23
ตารางที่ 3 ผลของอัตราปุย (Sub-sub plot) ที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง และจํานวนกิ่งตอตน
เมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
อัตราปุย
(กก./ตน)
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสดปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสดปที่ 4
(กก./ไร)
0 37.11
d
4.09
c
406.9
d
870.2
d
1,079
d
1 42.64
c
4.44
b
461.8
c
1,046
c
1,180
c
2 45.81
b
4.57
a
493.2
b
1,224
b
1,275
b
3 47.53
a
4.56
a
514.1
a
1,308
a
1,330
a
F - test ** ** ** ** **
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD24
การทดลองที่ 4 การศึกษาผลรวมของพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่มีผลตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด ที่มี
ผลตอการเจริญเติบโต จํานวนการแตกกิ่งตอตนเมื่ออายุครบ 90 วัน และผลผลิตชาจีนสดปที่ 2 ผลผลิต
ชาจีนสดปที่ 3 และ ผลผลิตชาจีนสดปที่ 4 เปนกิโลกรัมตอไร
4.1 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ คือ หยวนจืออูหลง No.12 No.7132 HK.3 และสุยเซียน
ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก และปุยหมัก ที่มีผลตอการเจริญเติบโตดานความ
สูง เมื่อมีอายุ 90 วัน ผลปรากฏวา ชาจีนNo.12 ตอบสนองตอการใชปุยหมักสูงที่สุด คือ 50.70
เซนติเมตร รองลงมา คือ ชาจีน No.12 ตอบสนองตอการใชปุยคอก คือ 49.04 เซนติเมตร และพันธุหย
วนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยคอก ต่ําที่สุดคือ 27.42 เซนติเมตร (ตารางที่ 4)
4.2 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก และ
ปุยหมัก ที่มีผลตอการแตกกิ่งกอตน เมื่อมีอายุ 90 วัน ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอ
การใชปุยหมักสูงที่สุด คือ 4.66 กิ่งตอตน รองลงมา คือ ชาจีน พันธุ No.12 ตอบสนองตอการใชปุย
คอก คือ 4.61 กิ่งตอตน สวนชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยคอกในการแตกกิ่งต่ํา
ที่สุด คือ 4.25 กิ่งตอตน (ตารางที่ 4)
4.3 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิดคือ ปุยคอก
และปุยหมัก ที่มีผลตอการใหผลผลิตชาจีนสดในปที่ 2 ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองการ
ใชปุยหมักสูงที่สุด คือ 509.3 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอการใชปุย
คอก คือ 501.2 กิโลกรัมตอไร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยคอกต่ําที่สุด คือ
353.1 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 4)
4.4 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก และ
ปุยหมัก ที่มีผลตอการใหผลผลิตชาจีนสดในปที่ 3 ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอการใช
ปุยหมักสูงที่สุดคือ 1,299 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอการใชปุยคอก
คือ 1,197 กิโลกรัมตอไร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยคอกต่ําที่สุด คือ ให
ผลผลิตสดที่ 929.0 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 4)
4.5 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก
และปุยหมัก ที่มีผลตอการใหผลผลิตชาจีนสดในปที่ 4 ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.7132 ตอบสนอง
ตอการใชปุยหมักสูงที่สุด คือ 1,275 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 คือ 1,272 กิโลกรัม
ตอไร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยคอกต่ําที่สุดคือ ใหผลผลิตสดที่ 1,098
กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 4) 25
ตารางที่ 4 ผลรวม (Interaction) ของพันธุและชนิดปุยที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง
และจํานวนกิ่งตอตน เมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
พันธุ ชนิด
ปุย
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสด
ปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 4
(กก./ไร)
หยวนจืออูหลง
ปุยคอก 27.42
g
4.25 353.1 929.0 1,098
b
ปุยหมัก 28.40
f
4.33 363.4 964.4 1,168
ab
No. 12
ปุยคอก 49.04
b
4.61 501.2 1,197 1,272
a
ปุยหมัก 50.70
a
4.66 509.3 1,299 1,259
a
No. 7132
ปุยคอก 44.55
e
4.39 490.3 1,138 1,220
a
ปุยหมัก 46.13
d
4.45 497.0 1,157 1,275
a
HK.3
ปุยคอก 44.67
d
4.29 490.1 1,108 1,184
ab
ปุยหมัก 46.44
cd
4.30 498.3 1,149 1,249
a
สุยเซียน
ปุยคอก 47.16
c
4.43 490.6 1,108 1,188
ab
ปุยหมัก 47.21
c
4.46 496.7 1,142 1,251
a
F - test * ns ns ns **
*, ** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ, ns ไมมีความแตกตางกันทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD 26
การทดลองที่ 5 การศึกษาผลรวมของพันธุชาจีน 5 สายพันธุที่มีตอการใชอัตราปุยอินทรีย ใน
อัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เมื่อมีอายุ 90 วัน และการใหผลผลิตชาจีนสดในปที่ 2, 3 และ 4
ดังนี้ คือ
5.1 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย ในอัตราสวน0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน เปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตทางดานความสูง ที่อายุ 90 วัน ผลปรากฏวา ชาจีน
พันธุ No.12 ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย ที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน มีการเจริญเติบโตสูงที่สุด คือ
53.31 เซนติเมตร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ตอการใชปุยอินทรียที่ 2 กิโลกรัมตอตน คือ 53.15
เซนติเมตร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง มีการเจริญเติบโตต่ําที่สุดที่อัตราการใชปุยคอก 0 กิโลกรัม
ตอตน โดยมีความสูงที่ 21.91 เซนติเมตร (ตารางที่ 5)
5.2 การศึกษาชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชอินทรีย ในอัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการแตกกิ่งที่อายุ 90 วัน ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอ
การใชปุยอินทรียที่อัตรา 1 และ 2 กิโลกรัมตอตนเทากัน มีการแตกกิ่งสูงที่สุด คือ 4.75 กิ่ง รองลงมาคือ
ชาจีนพันธุสุยเซียน ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่งที่ 4.73 กิ่ง
และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลงตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่ อัตรา 0 กิโลกรัมตอตน โดยมีการแตก
กิ่งต่ําที่สุดคือ 3.85 กิ่ง (ตารางที่ 5)
5.3 การศึกษาชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียในอัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตชาจีนสด ที่อายุ 2 ป ผลปรากฏวาชาจีนพันธุ No.12
ตอบสนองการใชปุยอินทรียอัตรา 3 กิโลกรัมตอตนใหผลผลิตสูงสุด คือ 551.1 กิโลกรัมตอไร รองลงมา
คือ ชาจีนพันธุสุยเซียนตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน โดยใหผลผลิตสดที่
540.2 กิโลกรัมตอไร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 0 กิโลกรัม
ตอตน โดยใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุดคือ 307.5 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 5)
5.4 การศึกษาชาจีน 5 สายพันธุ ที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย ในอัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตชาจีนสดที่อายุ 3 ป ผลปรากฏวาชาจีน No.12
ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,410.0
กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุสุยเซียน ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน
โดยใหผลผลิตชาจีนสดที่ 1,358 กิโลกรัมตอไร และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ตอบสนองตอการใชปุย
อินทรียที่อัตรา 0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 778.4 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 5)
5.5 การศึกษาชาจีน 5 สายพันธุที่ตอบสนองตอการใชปุยอินทรีย ในอัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตชาจีนสดที่อายุ 4 ป ผลปรากฏวาชาจีนพันธุ No.12 และ
พันธุสุยเซียน ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน โดยใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด27
เทากัน คือ 1,451 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.7132 ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่
อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน โดยใหผลผลิตชาจีนสดที่ 1,381 กิโลกรัมตอไร และชาจีนพันธุสุยเซียน
ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียที่อัตรา 0 กิโลกรัมตอไร โดยใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 989.4
กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 5)
ตารางที่ 5 ผลรวม (Interaction) ของพันธุและอัตราปุยที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง
และจํานวนกิ่งตอตนเมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
พันธุ อัตราปุย
(กก./ตน)
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสด
ปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 4
(กก./ไร)
หยวนจืออูหลง
0 21.91
l
3.85
h
307.5
m
778.4
j
1,056
fgh
1 26.50
k
4.36
ef
342.5
l
909.3
h
1,118
e-h
2 30.61
j
4.46
d
372.5
k
1,017
fg
1,161
d-g
3 32.61
i
4.48
d
410.5
j
1,083
e
1,196
de
No. 12
0 42.20
f
4.36
ef
442.4
h
909.9
h
1,181
def
1 50.81
b
4.75
a
495.3
f
1,197
d
1,139
efg
2 53.15
a
4.75
a
532.0
c
1,335
b
1,291
bcd
3 53.31
a
4.66
bc
551.1
a
1,410
a
1,451
a
No. 7132
0 39.20
h
4.05
g
428.1
i
892.8
hi
1,040
gh
1 44.51
e
4.41
de
490.1
g
1,090
e
1,223
cde
2 47.90
d
4.61
c
523.4
d
1,255
c
1,346
abc
3 49.75
c
4.61
c
533.0
c
1,351
b
1,381
ab
HK.3
0 41.02
g
4.13
g
428.3
i
890.7
hi
1,031
gh
1 44.35
e
4.31
f
490.8
fg
1,032
f
1,191
def
2 47.95
d
4.41
de
522.2
d
1,254
c
1,281
bcd
3 50.90
b
4.34
ef
535.5
bc
1,338
b
1,363
ab
สุยเซียน
0 41.21
fg
4.05
g
428.2
i
879.3
i
989.4
i
1 47.05
d
4.38
ef
490.1
g
1,003
g
1,141
efg
2 49.43
c
4.63
c
516.0
e
1,261
c
1,296
bcd
3 51.06
b
4.73
ab
540.2
b
1,358
b
1,451
a
F - test ** ** ** ** **
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD 28
การทดลองที่ 6 การศึกษาผลรวมของพันธุชาจีน 5 สายพันธุที่มีตอการใชอัตราปุยอินทรีย ใน
อัตราสวน 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน ที่มีผลตอความยาวของกิ่ง และจํานวนกิ่งตอตน หลังจากการ
ยายปลูกได 90 วัน และการใหผลผลิตสดของชาจีนในปที่ 2, 3 และ 4 ดังตอไปนี้ คือ
6.1 การศึกษาชนิดปุยอินทรีย คือ ปุยคอกและปุยหมัก รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่ 0 : 1
: 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตทางดานความสูงหลังจากยายปลูกชาจีน ได
90 วัน ผลปรากฏวา การใชปุยหมักในอัตราที่ 3 กิโลกรัมตอตนใหผลตอบแทนดานความยาวของกิ่งสูง
ที่สุด คือ 48.06 เซนติเมตร รองลงมาคือ การใชอัตราปุยคอกที่ 3 กิโลกรัมตอตน และการใชปุยหมักอัตรา
ที่ 2 กิโลกรัมตอตน ชาจีนมีการเจริญเติบโตดานความยาวของกิ่งคือ 46.99 และ 46.80 เซนติเมตร
ตามลําดับ สวนการใชอัตราปุยหมักและปุยคอกในอัตราที่ 0 กิโลกรัมตอไร มีการเจริญเติบโตต่ําที่สุด
คือ 37.27 และ 36.95 เซนติเมตรตามลําดับ (ตารางที่ 6)
6.2 การศึกษาชนิดปุยอินทรีย คือ ปุยคอกและปุยหมัก รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่
0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบอัตราการแตกกิ่งของชาจีน 5 สายพันธุ หลังจากยายปลูก
ได 90 วัน ผลปรากฏวา การใชปุยหมักที่อัตรา 2 กิโลกรัมตอไร ทําใหชาจีนมีการแตกกิ่งสูงที่สุด คือ
4.60 กิ่ง รองลงมา คือ การใชปุยหมักที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน และการใชปุยคอกในอัตรา 2 กิโลกรัม
ตอตน ทําใหชาจีนมีการแตกกิ่ง จํานวน 4.59 และ 4.55 กิ่งตามลําดับ สวนการใชอัตราปุยหมักที่อัตรา
0 กิโลกรัมตอตน ชาจีนมีการแตกกิ่งต่ําที่สุด คือ 4.08 กิ่ง (ตารางที่ 6)
6.3 การศึกษาชนิดของปุยอินทรีย คือ ปุยคอกและปุยหมัก รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่ 0
: 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตสดของชาจีน 5 สายพันธุ ในชาจีนที่มีอายุ 2 ป
ผลปรากฏวา การใหปุยหมักที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตนใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 520.0 กิโลกรัมตอ
ไร รองลงมา คือ การใหปุยคอกที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน และการใหปุยหมักที่อัตรา 2 กิโลกรัมตอตน
โดยใหผลผลิตชาจีนสด จํานวน 508.10 และ 497.9 กิโลกรัมตอไรตามลําดับ และการใหปุยคอกใน
อัตรา 0 กิโลกรัมตอตนใหผลผลิตต่ําที่สุด คือ 406.0 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 6)
6.4 การศึกษาชนิดของปุยอินทรีย คือ ปุยคอกและปุยหมัก รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่
0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตสดของชาจีน 5 สายพันธุ เมื่อชาจีนมีอายุ 3
ป ผลปรากฏวาการใหปุยหมักในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสด สูงที่สุด คือ 1,327
กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ การใหปุยคอกในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน และการใหปุยหมักในอัตรา 2
กิโลกรัมตอตน โดยใหผลผลิตชาจีนสดที่ 1,289 และ 1,254 กิโลกรัมตอไรตามลําดับ และการใหปุย
หมักในอัตรา 0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 870.1 กิโลกรัม (ตารางที่ 6)
6.5 การศึกษาชนิดของปุยอินทรีย คือ ปุยคอกและปุยหมัก รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่
0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตสดของชาจีน 5 สายพันธุในชาจีนที่มีอายุ 4 ป 29
ผลปรากฏวา การใหปุยหมักในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,435 กิโลกรัม
ตอไร รองลงมาคือ การใชปุยคอกที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน และการใชปุยหมักที่อัตรา 2 กิโลกรัมตอตน
ใหผลผลิตสดของชาจีนที่ 1,347 และ 1,314 กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ และการใชปุยคอกในอัตรา
0 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 1,071 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 6)
ตารางที่ 6 ผลรวม (Interaction) ของชนิดปุยและอัตราปุยที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง
และจํานวนกิ่งตอตน เมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
ชนิดปุย อัตราปุย
(กก./ตน)
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสด
ปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 4
(กก./ไร)
ปุยคอก
0 37.27
f
4.10
d
406.0
g
870.4
g
1,071
d
1 42.00
e
4.39
c
457.6
f
1,031
f
1,115
d
2 44.81
c
4.55
ab
488.5
d
1,195
d
1,236
c
3 46.99
b
4.54
ab
508.1
b
1,289
b
1,347
b
ปุยหมัก
0 36.95
f
4.08
d
407.8
g
870.1
g
1,087
d
1 43.29
d
4.50
b
466.0
e
1,062
e
1,314
bc
2 46.80
b
4.60
a
497.9
c
1,254
c
1,125
d
3 48.06
a
4.59
a
520.0
a
1,327
a
1,435
a
F - test ** ** ** ** **
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD 30
การทดลองที่ 7 การศึกษาผลรวมของพันธุชาจีน 5 สายพันธุ คือ หยวนจืออูหลง No.12 No.7132
HK.3 และสุยเซียน กับการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด คือ ปุยคอก และปุยหมัก กับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่
0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน ที่มีผลตอขนาดความยาวกิ่ง และจํานวนกิ่งตอตน เมื่อชาจีน มีอายุ 90 วัน
และการเปรียบเทียบการใหผลผลิตสดของชาจีน ในป 2, 3 และ 4 ดังตอไปนี้
7.1 การศึกษาพันธุของชาจีน 5 สายพันธุ รวมกับอัตราการใชปุยอินทรีย ที่ 0 : 1 : 2 : 3
กิโลกรัมตอตน ที่ชาจีนอายุได 90 วัน เปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตในดานความสูง หรือความยาว
ของกิ่ง ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยหมักในอัตรา 2 กิโลกรัมตอตน ใหความยาวของกิ่งสูง
ที่สุด คือ 55.08 เซนติเมตร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยหมักในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน และ
ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยคอก ในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหความยาวของกิ่งที่ 54.20 และ 52.42
เซนติเมตร ตามลําดับ และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลงที่ใหปุยคอกที่อัตรา 0 กิโลกรัมตอตน ใหความยาว
ของกิ่งต่ําที่สุด คือ 21.7 เซนติเมตร (ตารางที่ 7)
7.2 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ รวมกับการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด รวมกับอัตราการใชปุย
อินทรีย ที่ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เมื่อชาจีนอายุได 90 วัน เปรียบเทียบกับจํานวนกิ่งตอตน ผล
ปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยคอกในอัตรา 1 และ 2 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่งสูงที่สุดเทากัน
คือ 4.80 กิ่งตอตน รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยหมักในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่ง
เทากันกับการใชปุยคอกที่อัตรา 1 และ 2 กิโลกรัมตอตน คือ 4.70 กิ่งตอตน และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง
ที่ใชปุยหมักในอัตรา 0 กิโลกรัมตอตน มีการแตกกิ่งต่ําที่สุด คือ 3.80 กิ่งตอตน (ตารางที่ 7)
7.3 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ รวมกับการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด รวมกับอัตราการใชปุย
อินทรีย ที่ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เมื่อชาจีนมีอายุ 2 ป เปรียบเทียบกับการใหผลผลิตชาจีนสดเปน
กิโลกรัมตอไร ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยหมัก ในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีน
สดสูงที่สุด คือ 558.9 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุสุยเซียน ที่ใชปุยหมักที่อัตรา 3 กิโลกรัม
ตอตน และชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยคอกในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดที่ 547.2 และ
543.4 กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ที่ใชปุยคอกอัตรา 0 กิโลกรัมตอตนให
ผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 305.4 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 7)
7.4 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ รวมกับการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด รวมกับอัตราการใชปุย
อินทรีย ที่ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เมื่อชาจีนมีอายุ 3 ป เปรียบเทียบกับการใหผลผลิตชาจีนสดเปน
กิโลกรัมตอไร ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยหมัก ในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีน
สด สูงที่สุด คือ 1,419 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยคอกในอัตรา 3 กิโลกรัม
ตอตน และชาจีนพันธุสุยเซียนที่ใชปุยหมักอัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ใหผลผลิตชาจีนสดที่ 1,401.0 และ 31
1,3880 กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลง ที่ใชปุยคอกในอัตรา 0 กิโลกรัมตอตน
ใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 774.6 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 7)
7.5 การศึกษาพันธุชาจีน 5 สายพันธุ รวมกับการใชปุยอินทรีย 2 ชนิด รวมกับอัตราการใชปุย
อินทรีย ที่ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตน เมื่อชาจีนมีอายุ 4 ป เพื่อเปรียบเทียบการใหผลผลิตชาจีนสดเปน
กิโลกรัมตอไร ผลปรากฏวา ชาจีนพันธุ No.7132 ที่ใชปุยหมักในอัตรา 3 กิโลกรัมตอตนใหผลผลิต
ชาจีนสดสูงที่สุด คือ 1,583 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ ชาจีนพันธุสุยเซียน ที่ใชปุยหมักในอัตรา 3
กิโลกรัมตอตน และชาจีนพันธุ No.12 ที่ใชปุยคอกในอัตรา 3 กิโลกรัมตอไร ใหผลผลิตชาจีนสดเทากับ
1,492.0 และ 1,470.0 กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ และชาจีนพันธุหยวนจืออูหลงที่ใหปุยคอกในอัตรา
0 กิโลกรัมตอตนใหผลผลิตชาจีนสดต่ําที่สุด คือ 886.20 กิโลกรัมตอไร (ตารางที่ 7) 32
ตารางที่ 7 ผลรวม (Interaction) ของพันธุ ชนิดปุย และอัตราปุยที่มีตอขนาดความยาวกิ่ง
และจํานวนกิ่งตอตนเมื่ออายุ 90 วัน และผลผลิตสดในปที่ 2, 3 และ 4
พันธุ ชนิดปุย
อัตราปุย
(กก./ตน)
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสด
ปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 4
(กก./ไร)
หยวนจือ
อูหลง
ปุยคอก
0 21.73 w 3.90 lm 305.4 774.6 886.2 s
1 25.70 v 4.30 gh 335.8 892.3 991.1 pqr
2 29.82 t 4.40 fg 368.5 986.8 1,221 ijk
3 32.42 rs 4.40 fg 402.6 1,062 1,293 f-i
ปุยหมัก
0 22.10 w 3.80 m 309.6 782.1 891.1 s
1 27.30 u 4.43 efg 349.2 926.2 1,029 n-r
2 31.40 s 4.53 def 376.6 1,047 1,350 e-h
3 32.80 r 4.55 de 418.3 1,103 1,401 b-e
No. 12
ปุยคอก
0 42.80 no 4.40 fg 441.3 907.2 1,093 l-o
1 49.70 fghi 4.70 abc 492.4 1,186 1,181 jkl
2 51.23 bcde 4.70 abc 527.6 1,295 1,343 e-h
3 52.42 b 4.63 bcd 543.4 1,401 1,470 bcd
ปุยหมัก
0 41.60 op 4.33 gh 443.6 912.6 1,096 lmn
1 51.92 bc 4.80 a 498.2 1,208 1,238 ijk
2 55.08 a 4.80 a 536.3 1,375 1,268 hij
3 54.20 a 4.70 abc 558.9 1,419 1,433 b-e
No. 7132
ปุยคอก
0 39.30 q 3.98 kl 427.4 898.1 1,108 lmn
1 43.20 mn 4.40 fg 486.6 1,082 1,098 lmn
2 46.60 jk 4.60 cd 517.4 1,238 1,282 ghi
3 49.10 hi 4.60 cd 529.8 1,333 1,391 c-f
ปุยหมัก
0 39.10 q 4.13 ij 428.8 887.4 981.2 qrs
1 45.83 k 4.43 efg 493.6 1,098 1,163 klm
2 49.20 ghi 4.63 bcd 529.4 1,272 1,372 d-g
3 50.40 defg 4.63 bcd 536.2 1,369 1,583 a
HK.3
ปุยคอก
0 40.90 p 4.13 ij 426.8 889.4 1,078 m-q
1 44.50 l 4.33 gh 485.5 997.8 1,089 l-p
2 47.10 j 4.40 fg 516.8 1,227 1,225 ijk
3 50.20 efgh 4.33 gh 531.3 1,319 1,344 e-h
ปุยหมัก
0 41.15 p 4.13 ij 429.7 892.1 972.4 rs
1 44.20 lm 4.30 gh 496.2 1,066 1,158 klm
2 48.80 hi 4.43 efg 527.6 1,281 1,382def
3 51.60 bcd 4.35 gh 539.6 1,358 1,483 bc 33
ตารางที่ 7 (ตอ)
พันธุ ชนิดปุย
อัตราปุย
(กก./ตน)
ความยาวกิ่ง
(ซม.)
จํานวนกิ่ง
ตอตน
ผลผลิตสด
ปที่ 2
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 3
(กก./ไร)
ผลผลิตสด
ปที่ 4
(กก./ไร)
สุยเซียน
ปุยคอก
0 41.63 op 4.10 ijk 429.2 882.4 994.3 o-r
1 46.90 jk 4.23 hi 487.6 996.6 1,110 lmn
2 49.30 ghi 4.63 bcd 512.4 1,226 1,239 ijk
3 50.82 cdef 4.75 ab 533.2 1,328 1,411 b-e
ปุยหมัก
0 40.80 p 4.00 jkl 427.3 876.2 984.4 qrs
1 47.20 j 4.53 def 492.7 1,009 1,173 jklm
2 49.55 ghi 4.63 bcd 519.6 1,296 1,354 e-h
3 51.30 bcde 4.70 abc 547.2 1,388 1,492 ab
F - test ** ** ns ns **
CV (%) 20.58 6.04 14.83 17.74 15.49
** แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ, ns ไมมีความแตกตางกันทางสถิติ
ตัวอักษรที่แตกตางกันในแนวตั้ง มีความแตกตางกันทางสถิติที่ระดับนัยสําคัญ p < 0.05 เมื่อเปรียบเทียบโดยวิธี LSD 34
ตารางที่ 8 ขนาดความกวางและความยาวของใบชาจีนที่สมบูรณเต็มที่โดยเฉลี่ย
พันธุ ความกวางของใบ
(ซม.)
ความยาวของใบ
(ซม.)
หยวนจืออูหลง 3.17 8.40
No.12 4.83 10.17
No.7132 4.43 11.63
HK.3 4.47 10.23
สุยเซียน 5.10 11.8635
ตารางที่ 9 แสดงอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธโดยเฉลี่ย และปริมาณน้ําฝนที่
ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง ตั้งแตเดือนมกราคม – ธันวาคม 2547
เดือน
อุณหภูมิ ความชื้นอากาศ
ปริมาณฝน
สูงสุด ต่ําสุด (มิลลิเมตร)
ตุมแหง
8.00
ตุมเปยก
8.00
ตุมแหง
15.00
ตุมเปยก
15.00
มกราคม 24.24 9.41 10.93 9.84 24.02 21.14 0
กุมภาพันธ 28.44 10.88 13.85 12.24 23.14 20.23 0
มีนาคม 30.74 14.94 14.23 13.32 21.26 15.26 0
เมษายน 30.48 17.48 17.24 16.43 23.38 21.14 4.82
พฤษภาคม 27.68 19.43 19.43 18.81 22.41 19.34 14.77
มิถุนายน 26.82 19.06 20.15 19.22 24.26 21.23 16.41
กรกฎาคม 25.84 19.08 19.48 18.64 24.39 21.46 4.63
สิงหาคม 24.88 19.74 20.64 19.71 24.41 21.19 10.42
กันยายน 24.74 18.33 19.26 19.24 24.26 21.84 18.14
ตุลาคม 23.88 19.64 18.74 17.35 22.13 19.72 17.16
พฤศจิกายน 22.44 17.46 15.63 14.42 20.41 16.71 22.42
ธันวาคม 21.89 13.24 12.04 11.34 22.13 16.33 6.4
Total 312.07 198.69 201.62 190.56 276.2 235.59 115.17
Mean 26.01 16.56 16.8 15.88 23.02 19.63 9.6
ที่มา: สถานีตรวจอากาศเกษตร ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ต.แมวิน อ.แมวาง
จ.เชียงใหม (ความสูง 960 เมตรจากระดับน้ําทะเล) 36
ตารางที่ 10 แสดงอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธโดยเฉลี่ย และปริมาณน้ําฝนที่
ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง ตั้งแตเดือนมกราคม – ธันวาคม 2548
เดือน
อุณหภูมิ ความชื้นอากาศ
ปริมาณฝน
สูงสุด ต่ําสุด (มิลลิเมตร)
ตุมแหง
8.00
ตุมเปยก
8.00
ตุมแหง
15.00
ตุมเปยก
15.00
มกราคม 25.24 9.11 10.63 9.81 24.79 21.48 0
กุมภาพันธ 27.44 10.48 13.35 12.38 23.23 20.65 0
มีนาคม 30.42 12.61 14.84 13.97 21.53 15.45 0
เมษายน 30.18 17.42 17.86 16.82 23.98 21.26 2.13
พฤษภาคม 24.08 19.13 19.74 18.9 22.98 19.85 12.22
มิถุนายน 26.62 19.97 20.65 19.58 24.72 21.67 12.39
กรกฎาคม 25.24 19.03 19.93 18.89 24.89 21.78 3.31
สิงหาคม 24.38 19.43 20.12 19.21 24.79 21.48 10.36
กันยายน 24.41 18.89 19.85 19.12 24.10 21.01 17.52
ตุลาคม 23.53 19.39 18.47 17.51 22.88 19.45 16.61
พฤศจิกายน 22.33 17.28 15.70 14.87 20.57 16.90 20.46
ธันวาคม 22.69 13.15 12.20 11.68 22.28 16.71 8.05
Total 306.56 195.89 203.34 192.74 280.74 237.70 103.05
Mean 25.55 16.32 16.95 16.06 23.40 19.81 8.59
ที่มา: สถานีตรวจอากาศเกษตร ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ต.แมวิน อ.แมวาง
จ.เชียงใหม (ความสูง 960 เมตรจากระดับน้ําทะเล) 37
ตารางที่ 11 แสดงอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธโดยเฉลี่ย และปริมาณน้ําฝนที่
ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง ตั้งแตเดือนมกราคม – ธันวาคม 2549
เดือน
อุณหภูมิ ความชื้นอากาศ
ปริมาณฝน
สูงสุด ต่ําสุด (มิลลิเมตร)
ตุมแหง
8.00
ตุมเปยก
8.00
ตุมแหง
15.00
ตุมเปยก
15.00
มกราคม 25.85 10.29 15.70 14.87 20.57 16.90 0.00
กุมภาพันธ 28.64 12.75 18.47 17.51 22.88 19.45 0.00
มีนาคม 31.65 16.13 21.92 22.33 24.79 21.48 25.90
เมษายน 31.85 25.25 21.52 20.11 23.23 20.65 20.82
พฤษภาคม 26.50 17.13 21.67 20.92 25.18 21.95 11.80
มิถุนายน 26.10 20.12 22.30 21.63 24.50 22.66 13.99
กรกฎาคม 29.06 15.84 23.29 22.42 23.90 19.73 6.98
สิงหาคม 25.69 23.39 23.02 22.08 21.53 15.45 9.26
กันยายน 25.60 22.77 22.62 22.10 23.98 21.26 19.71
ตุลาคม 29.32 18.02 21.37 20.26 25.30 21.17 9.45
พฤศจิกายน 25.93 13.88 16.73 15.82 23.39 20.08 0.00
ธันวาคม 23.95 10.84 13.79 10.84 23.23 20.65 0.00
Total 330.14 206.41 242.40 230.89 282.48 241.43 117.91
Mean 27.51 17.20 20.20 19.24 23.54 20.12 9.83
ที่มา: สถานีตรวจอากาศเกษตร ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ต.แมวิน อ.แมวาง
จ.เชียงใหม (ความสูง 960 เมตรจากระดับน้ําทะเล) 38
ตารางที่ 12 แสดงอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธโดยเฉลี่ย และปริมาณน้ําฝนที่
ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง ตั้งแตเดือนมกราคม – ธันวาคม 2550
เดือน
อุณหภูมิ ความชื้นอากาศ
ปริมาณฝน
สูงสุด ต่ําสุด (มิลลิเมตร)
ตุมแหง
8.00
ตุมเปยก
8.00
ตุมแหง
15.00
ตุมเปยก
15.00
มกราคม 24.83 9.61 12.06 11.11 23.98 21.26 0.00
กุมภาพันธ 26.54 10.46 13.55 12.36 22.98 19.85 0.00
มีนาคม 31.47 13.82 17.18 15.81 24.72 21.67 0.00
เมษายน 31.63 17.52 21.92 18.35 30.28 19.87 15.60
พฤษภาคม 26.08 18.71 21.11 19.66 23.98 21.26 27.02
มิถุนายน 27.60 19.77 22.34 20.70 25.30 21.17 14.23
กรกฎาคม 25.97 19.61 21.60 19.89 23.39 20.08 6.88
สิงหาคม 26.37 19.39 21.52 20.11 23.23 20.65 8.88
กันยายน 26.45 18.97 20.55 19.63 25.18 21.95 16.88
ตุลาคม 24.81 16.98 19.52 18.66 24.50 22.66 16.29
พฤศจิกายน 22.87 14.60 17.20 16.30 23.90 19.73 9.31
ธันวาคม 23.11 12.29 13.94 13.06 21.53 15.45 0.00
Total 317.73 191.73 222.49 205.64 292.97 245.60 115.09
Mean 26.48 15.98 18.54 17.14 24.41 20.47 9.59
ที่มา: สถานีตรวจอากาศเกษตร ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง หมูที่ 10 ต.แมวิน อ.แมวาง
จ.เชียงใหม (ความสูง 960 เมตรจากระดับน้ําทะเล) 39
สรุปผลการวิจัย
การวิจัยเพื่อทดสอบพันธุชาจีนในพื้นที่สูง คือ ศูนยพัฒนาโครงการหลวงทุงหลวง อําเภอ
แมวาง จังหวัดเชียงใหม ที่ความสูงของแปลงปลูก เทากับ 1,040 เมตรจากระดับน้ําทะเล พันธุชาจีน
ที่ใชทดสอบ จํานวน 6 สายพันธุ พอสรุปไดวา พันธุชาจีนที่มีการเจริญเติบโตดีที่สุด คือ No.12 ทั้ง
ความยาวของกิ่ง อัตราการแตกกิ่ง ผลผลิตปที่ 2, 3 และ 4 สูงที่สุด คือ 505.2 1,213 และ 1,265
กิโลกรัมตอไร ตามลําดับ (ตารางที่ 1) สวนชนิดของปุยอินทรียตอการเจริญเติบโตในดานความยาวกิ่ง
อัตราการแตกกิ่ง และผลผลิตชาจีนสดปที่ 2, 3 และ 4 สูงที่สุด คือ 472.9 1,128 และ 1,240 กิโลกรัม
ตอไรตามลําดับ (ตารางที่ 2) และอัตราของปุยอินทรียที่ดีที่สุดที่ตอบสนองตอการเจริญเติบโตทางดาน
ความยาวกิ่ง อัตราการแตกกิ่ง ผลผลิตปที่ 2, 3 และ 4 คือ 3 กิโลกรัมตอตน (ตารางที่ 3) พันธุชาจีนที่
ตอบสนองตอชนิดปุยอินทรียดีที่สุด คือ ชาจีนพันธุ No.12 ตอบสนองตอปุยหมักดีที่สุด (ตารางที่ 4)
พันธุชาจีนที่ตอบสนองตอการใชอัตราปุยอินทรีย 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอไร คือ ชาจีนที่พันธุ No.12
ตอบสนองตอการใชปุยอินทรียดีที่สุดที่ระดับ 3 กิโลกรัมตอตน (ตารางที่ 5) ปุยหมักเปนปุยอินทรียที่
ตอบสนองตออัตราปุยที่ 0 : 1 : 2 : 3 กิโลกรัมตอตนดีที่สุด คือ อัตราที่ 3 กิโลกรัมตอตน (ตารางที่ 6)
และพันธุของชาจีนที่ตอบสนองตอการใชปุยหมักและปุยคอกดีที่สุด ที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน คือ พันธุ
No.7132 สุยเซียน HK.3 No.12 และ หยวนจืออูหลง ตามลําดับ กลาวโดยสรุป คือ ชาจีนทั้ง 4
สายพันธุ สามารถปลูกบนที่สูง (1,000 เมตรขึ้นไป) ใหไดผลผลิตชาจีนสดไดดี คือ พันธุ No.7132 สุย
เซียน HK.3 และ No.12 ไมคอยแตกตางกันมากนัก สวนปุยอินทรียก็ใชไดผลดีทั้งปุยคอกและปุย
หมัก โดยเฉพาะที่อัตรา 3 กิโลกรัมตอตน ทุก ๆ 4 เดือน สวนชาจีนสายพันธุหยวนจืออูหลงนั้น ถึงแม
จะใหผลผลิตคอนขางต่ํากวาทั้ง 4 สายพันธุ แตมีคุณสมบัติที่ดีเดนเปนพิเศษ ก็คือ เรื่องของคุณภาพ
ของการแปรรูปชาแลวไมวาจะเปนชาเขียว หรือชาอูหลง จะมีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด เปนที่ตองการของ
ผูบริโภคและจําหนายไดในราคาที่สูงกวาสายพันธุอื่น ๆ ประมาณ 25-30 % ดังนั้นหากจะแนะนําให
เกษตรกรปลูกชาจีนเพื่อการคาบนพื้นที่สูงแลว ขอแนะนําอยู 2 สายพันธุ คือ No.12 ที่มีการ
เจริญเติบโตคอนขางดี และใหผลผลิตชาจีนสดคอนขางสูง และพันธุหยวนจืออูหลง ถึงแมจะมีการ
เจริญเติบโตชา และผลผลิตตอไรต่ํากวาก็จริง แตคุณภาพการแปรรูปคอนขางดี มีกลิ่นหอม ราคาดี เปนที่
ตองการของผูบริโภค 40
ขอแนะนําในการผลิตชาจีน
การผลิตชาจีนเพื่อการคา เพื่อใหไดผลิตภัณฑชาที่มีคุณภาพ และเปนที่ตองการของผูบริโภค
นั้น ควรปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ําทะเล ตั้งแต 1,000 เมตรขึ้นไป ถาจะใหดีที่สุดควรสูงจาก
ระดับน้ําทะเล 1,400 เมตรขึ้นไป ดินที่ปลูกควรเปนดินรวนปนทรายที่มีอินทรียวัตถุสูง เชน ในประเทศ
ไตหวัน ดินที่ปลูกชาที่มีคุณภาพสวนใหญเปนดินทรายแดง คอนไปทางดินเหนียวเล็กนอย ซึ่งเหมาะกับ
การปลูกชา และควรมีคาความเปนกรดเปนดางที่ระหวาง 4.5 – 5.5 (บนที่สูงของประเทศไทยเฉลี่ยแลว
อยูประมาณ 4.2 – 5.8) ซึ่งก็เหมาะสําหรับการปลูกชา แตดินสภาพนี้จะไมเหมาะสําหรับการปลูกสม
1. การเลือกและเตรียมพื้นที่
ขั้นตอนการเลือกพื้นที่และเตรียมพื้นที่เปนขั้นตอนแรก ที่สามารถบงชี้ไดวาการปลูกสรางสวน
ชา จะประสบความสําเร็จหรือไม ถาหากสามารถเลือกพื้นที่ไดเหมาะสม และมีการเตรียมพื้นที่ไดดี
ยอมแสดงใหเห็นวาสวนชานั้นมีโอกาสที่จะประสบความสําเร็จในโอกาสตอไป ดังนั้น ขั้นตอนนี้ จึงจัดได
วาเปนขั้นตอนที่สําคัญยิ่งขั้นตอนหนึ่ง
การเลือกพื้นที่ สวนใหญพื้นที่ปลูกชาในประเทศไทยจะเปนแหลงปลูกตามภูเขาทางภาคเหนือ
ซึ่งเปนแหลงตนน้ําลําธาร การเลือกพื้นที่จึงตองคํานึงถึงการอนุรักษสภาพปาและสภาพแวดลอมดวย
พื้นที่ที่เหมาะสําหรับการปลูกชาควรเปนแหลงที่มีความชื้นในอากาศสูง มีอุณหภูมิต่ํา ควรมีปริมาณ
น้ําฝนไมนอยกวา 1,800 มม./ป และกระจายสม่ําเสมอ พื้นที่ควรมีความลาดเอียงนอยกวา 45 องศา
ดินควรเปนดินรวนมีปริมาณอินทรียวัตถุสูง คาความเปนกรด-ดาง (pH) ประมาณ 4-6
จะเห็นไดวา พื้นที่ปลูกชาทางภาคเหนือของประเทศไทยในสภาพความเปนจริงยังคงไมคอยมี
ความเหมาะสมกับพืชชนิดนี้นัก แตเนื่องจากชาเปนพืชที่มีตนกําเนิดจากทางตอนบนของภาคเหนือมี
การปรับตัวใหสามารถเขากับพื้นที่มาเปนเวลานาน ดังนั้น ชาจึงเจริญเติบโตและใหผลผลิตได ทาง
ตอนบนของประเทศไทยเปนพื้นที่ ที่เกิดจากการสลายตัวของภูเขาหินปูนเปนสวนใหญ คาความเปน
กรด-ดาง (pH) จึงอยูในชวงเหมาะสม แตปริมาณน้ําฝนทางภาคเหนือมีปริมาณนอยและมีชวงแลง
นานติดตอกันหลายเดือน จึงทําใหผลผลิตชาต่ํา การเลือกพื้นที่ปลูกชาจึงควรคํานึงถึงระบบการ
ชลประทานในชวงฤดูแลงดวย
การเตรียมพื้นที่ เปนการปรับแตงพื้นที่ใหเหมาะสมในการปลูกสรางสวนชา ซึ่งการเตรียมพื้นที่
จะตองคํานึงถึงสภาพความตองการของพืชและความสะดวกในการจัดการดูแลรักษาสวนชาดวย ใน
ที่นี้จะขอแยกออกเปนสองกรณี คือ การเตรียมพื้นที่สําหรับปลูกสรางสวนชาใหม และการเตรียมพื้นที่
ในการปรับปรุงสวนชาเกา 41
1. การเตรียมพื้นที่สําหรับการปลูกสรางสวนชาใหม เมื่อสามารถเลือกพื้นที่ไดแลวตองเตรียม
พื้นที่โดยทําการแผวถางวัชพืชและไมยืนตนที่มีขนาดเล็กออก สวนไมยืนตนขนาดใหญที่มีระบบรากลึก
และแข็งแรงควรเก็บเอาไวสําหรับเปนไมบังรมชาในชวงฤดูรอน และระบบรากจะชวยปองกันการ
พังทลายของดินในชวงที่ระบบรากของชายังไมแข็งแรง ในการเตรียมพื้นที่ใหม ควรทําการอนุรักษ
สิ่งแวดลอมดวยการปลูกชาแบบขั้นบันไดซึ่งการจัดทําขั้นบันไดอาจทําขึ้นกอนการกําหนดหลุมปลูก
หรือจัดทําขึ้นหลังจากปลูกชาแลวก็ได กอนทําขั้นบันไดจะตองกําหนดแนวระดับในแนวขวางความลาด
ชันของพื้นที่ เมื่อไดแนวระดับแลวจึงขุดเปนขั้นบันได (ควรกวางอยางนอย 180 เซนติเมตร ระยะ
ระหวางขั้นบันไดขึ้นอยูกับความลาดชันของพื้นที่) ถาหากตองการทําขั้นบันไดหลังจากปลูกชาแลว
กระทําไดโดย เมื่อเตรียมพื้นที่เสร็จและกําหนดหลุมปลูกแลว จะตองขุดหลุมปลูกใหลึกประมาณสอง
เทาของปกติ และเมื่อปลูกระดับคอดินของตนกลา คือ ระดับของผิวขั้นบันไดที่จะทําภายหลัง ความ
ลาดชันภายในขั้นบันไดแตละขั้นไมควรมากกวา 5 เปอรเซ็นต (เพราะทําใหน้ําไหลแรงเกินไปอาจทําให
ขั้นบันไดพังไดงาย)
2. การเตรียมพื้นที่สําหรับปรับปรุงสวนชาเกา สวนใหญมักเปนการปลูกแซม ซึ่งการปลูกแซม
ควรพิจารณาดวยวาชาที่มีอยูเดิมเหมาะสมที่จะเก็บไวหรือไม เพราะบางครั้งอาจเปนแหลงสะสมโรค
การปลูกชาใหมแซมในสวนชาเกา หลุมปลูกควรขุดใหกวาง เพื่อปองกันการแยงอาหารขณะที่ชาปลูก
ใหมยังเจริญเติบโตไมเต็มที่ และควรปลูกแซมใหเปนแถวเพื่อใหสามารถจัดการตาง ๆ ในสวนชาไดงาย
2. การเตรียมหลุมปลูกชา
เมื่อปลูกและเตรียมพื้นที่ปลูกชาไดแลว ขั้นตอนตอไป คือการกําหนดระยะปลูก และการ
เตรียมหลุมปลูก ซึ่งมีขั้นตอนการดําเนินการดังนี้
1. การกําหนดระยะปลูก การกําหนดระยะปลูกชาขึ้นอยูกับขนาดของชา การจัดการในสวน
ชา และความอุดมสมบูรณของพื้นที่ สําหรับในที่นี้จะขอกลาวเฉพาะการปลูกชาในกลุมชาจีนเปนหลัก
สําหรับพื้นที่ที่ปลูกที่เปนพื้นราบ การกําหนดระยะปลูกบนพื้นราบโดยพื้นราบโดยทั่วไประยะ
ปลูกที่เหมาะสมงายตอการดูแลรักษา และสามารถใหผลผลิตไดเร็ว คือ ระยะระหวางแถว 150 ซม.
ระยะระหวางตน 30-40 ซม. หรืออาจปลูกเปนแถวคูสลับฟนปลา ระยะระหวางตนแบบแถวคู 40-45
ซม. ระยะระหวางแถว (แตละคู) 30-50 ซม. ระยะระหวางคู 150 ซม. (การปลูกแบบนี้ จะใหผลผลิตไดเร็ว
กวา แตใชจํานวนตนกลามากกวา)
สวนพื้นที่ปลูกที่เปนไหลเขาที่มีการทําขั้นบันได ระยะระหวางตนสามารถใชระยะเดียวกันได
แตระยะระหวางแถวขึ้นอยูกับระยะหางของขั้นบันไดเปนหลัก (ปกติมักใชระยะหางของขั้นบันได
ประมาณ 2 เมตร) ถาหากเปนการปลูกเปนแถวคูขนานของขั้นบันไดจะตองกวางอยางนอย 230 ซม. 42
3. การยายปลูก
การปลูกชาเพื่อใหไดตนชาที่มีความสม่ําเสมอ งายตอการควบคุมทรงพุม นิยมใชตนกลาที่ได
จากการปกชํา กลาชาจากการปกชําที่เหมาะสมตอการยายปลูก จะใชตนกลาอายุประมาณ 9-12
เดือน (ปกชําประมาณเดือนตุลาคม) ทั้งนี้จะตองพิจารณาขนาดของตนกลาดวย โดยตนกลาที่จะยาย
ปลูกตองมีความแข็งแรงดี สวนโคนตนควรเปลี่ยนเปนสีน้ําตาลหรือสีเทา ตาตามซอกใบจะตองเตง
เต็มที่
- หลังจากยายกลาลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว ทําการตัดยอดที่ระดับความสูง ประมาณ
10-15 ซม.
- ควรคลุมโคนตนกลาดวยฟางหรือเศษวัชพืช เพื่อรักษาความชื้นในดินหลังการยายปลูก
- การใหรมเงา การใหตนกลาไดรับรมเงาในระยะแรกเปนสิ่งที่จําเปนมาก หลังจากยายปลูก
ระบบรากของตนกลายังไมแข็งแรง การปลอยใหตนกลาไดรับแสงแดดจัดโดยตรง อาจทําใหตนกลา
ตายเนื่องจากการสูญเสียน้ําไดงาย เพื่อปองกันการสูญเสียดังกลาว จึงควรปลูกไมบังรมชนิดที่เปน
ไมลมลุก โตไดเร็ว กอนการยายปลูกประมาณ 1-2 เดือน พืชบังรมที่เหมาะสมในระยะแรก เชน ขาว
ฟาง ขาวโพด ถั่วมะแฮะ เปนตน
4. การจัดทรงพุมและตัดแตงชา
การตัดแตงเปนขั้นตอนที่สัมพันธโดยตรงกับปริมาณ และคุณภาพผลผลิตชา การตัดแตงทรง
พุมที่เหมาะสมจะทําใหชาสามารถใหผลผลิตไดนาน และสะดวกตอการดูแลรักษาสวน ในที่นี้จะขอ
แบงการตัดแตงออกเปนสองลักษณะ คือ การตัดแตงเพื่อควบคุมทรงพุมของชาปลูกใหม (Training)
และการตัดแตงทรงพุมเพื่อเพิ่มผลผลิต (Pruning)
การจัดทรงพุมใหม (Training) เปนการตัดแตงเพื่อบังคับทรงพุมของชาใหเตี้ย และ
เจริญเติบโตทางดานขาง การตัดแตงในลักษณะนี้กระทําครั้งแรกหลังการยายปลูก โดยตัดยอดตนกลา
ที่ระดับความสูง 15-20 ซม. (ในชวงฤดูฝนสําหรับประเทศเขตรอน และในชวงฤดูใบไมผลิสําหรับ
ประเทศเขตหนาว) หลังจากตัดยอดครั้งแรกหลังยายปลูก จะปลอยใหตนชามีการเจริญเติบโตไดอยาง
เต็มที่ สําหรับในแหลงปลูกในตางประเทศซึ่งมีสี่ฤดู หลังจากยายปลูกจะปลอยใหตนกลามีการ
เจริญเติบโตอยางเต็มที่ และเริ่มควบคุมทรงพุมอีกครั้งในปที่ 2
เมื่อตนชาอายุ 2 ป จึงตัดยอดเพื่อควบคุมทรงพุมที่ระดับความสูงประมาณ 25-30 ซม.
(กระทําในชวงเดียวกันกับการคุมทรงพุมครั้งแรก) 43
เมื่อตนชาอายุ 3 ป จึงตัดยอดเพื่อควบคุมทรงพุมที่ระดับความสูงประมาณ 35-40 ซม.
(กระทําในชวงเดียวกันกับการควบคุมทรงพุมครั้งที่ 2 หรือเมื่อชาอายุ 2 ป) โดยปลอยใหชามีการแตก
กิ่งขางไดเต็มที่ทรงพุมชาจะเริ่มชนกัน
เมื่อตนชาอายุ 4 ป จึงตัดยอดเพื่อควบคุมทรงพุมที่ระดับเก็บผลผลิตความสูงประมาณ 40-45
ซม. เมื่ออายุไดประมาณ 4 ป สามารถเก็บยอดชาเพื่อแปรรูปเปนชาชนิดตาง ๆ ได
การตัดแตงทรงพุม (Pruning) การตัดแตงทรงพุมสวนใหญกระทําเพื่อชวยเพิ่มผลผลิต (เพิ่ม
พื้นที่ใหผลผลิต) เปนการรักษาระดับความสูงใหเหมาะสมตอการจัดการ ชวยลดการระบาดของโรค
และแมลง ชวยเพิ่มคุณภาพของยอดชาสด
การตัดแตงทรงพุม แบงออกเปน 5 ระดับ ตามความรุนแรงของการตัดแตง ดังนี้
- Skiffing เปนการตัดแตงใหพุมชาอยูในแนวระดับเก็บ
- Light Pruning เปนการตัดแตงเพื่อเพิ่มกิ่งกานและทําความสะอาดทรงพุม
- Medium Pruning เปนการตัดแตงเพื่อลดระดับความสูงของทรงพุมชา
- Heavy Pruning เปนการตัดแตงเพื่อจัดโครงสรางทรงพุมใหม
- Collar Pruning เปนการตัดแตงใหไดตนใหม
หลังจากจัดทรงพุมใหมในชาปลูกใหมเสร็จ (ชาจะมีอายุประมาณ 4 ป) ระดับความสูงของ
ทรงพุมประมาณ 40-45 ซม. (ตัดแตงกอนฤดูหนาว) เมื่อชาพนการพักตัว จะเริ่มแตกยอดใหม
(ประมาณปลายเดือนมีนาคม ในประเทศเขตหนาว) ปลอยใหยอดชามีการเจริญเติบโตอยางเต็มที่ เมื่อ
ถึงชวงประมาณกลางเดือนเมษายน – ตนเดือนพฤษภาคม จึงทําการเก็บยอดชา ยอดชาที่ไดเรียกวา
ชาหัวป หรืออันดับที่ 1 ในประเทศญี่ปุน ในแตละปจะเก็บยอดชาได 3 ครั้ง หลังจากเก็บยอดชาครั้งที่ 3
(ประมาณปลายเดือนสิงหาคม – ตนเดือนตุลาคม) ระดับความสูงของทรงพุมชาจะประมาณ 46-51
ซม. จึงปลอยใหชามีการแตกยอดใหมและเจริญเติบโตอยางเต็มที่ กอนชาจะพักตัวจึงทําการตัดทรงพุม
ชาใหเหลือความสูงประมาณ 50-55 ซม. เรียกการตัดแตงนี้วา Light Skiffing (การตัดแตงนี้เปนการ
ตัดแตงประจําทุกป) ทุก ๆ ป ทรงพุมชาจะสูงขึ้นประมาณ 10 ซม. ในทุก ๆ 3 ป (ความสูงทรงพุมจะ
ประมาณ 70-80 ซม.) จึงตัดทรงพุมใหเตี้ยลงมาใหเหลือระดับความสูงประมาณ 60 ซม. การตัดแตงนี้
เรียกวา Deep Skiffing
เมื่อตนชาใหผลผลิตติดตอกันเปนเวลานานหลายป และผานการตัดแตงกิ่งหลายครั้ง จะมีกิ่ง
สั้น ๆ เนื่องจากการตัดแตงทุกครั้งจะตัดเหนือระดับเดิมเปนจํานวนมาก และเนื่องจากเกิดความ
หนาแนนของกิ่งสั้น ๆ (ตีนกา) มากเกินไป ทําใหการแตกยอดใหมของชาลดลง ดังนั้นจึงควรทําการตัด
กิ่งเหลานี้ทิ้ง พรอมทั้งตัดใหเกิดระดับการใหผลผลิตขึ้นใหม ซึ่งกระทําไดโดยการตัดทรงพุมที่ระดับ
ความสูงประมาณ 30-50 ซม. การตัดแบบนี้เรียกวา Medium Pruning (ปกตินิยมกระทําทุก 4-5 ป) 44
และเมื่อชามีการใหผลผลิตติดตอกันเปนเวลานาน จะทําใหตนชาทรุดโทรม ใหผลผลิตลดลง มี
การแตกกิ่งแขนงลดลง จึงสมควรทําการตัดแตงเพื่อจัดกิ่งหลักใหม โดยตัดแตงที่ระดับความสูง
ประมาณ 15 ซม. และปลอยใหตนชามีการแตกกิ่งใหม เรียกการตัดแตงนี้วา Heavy Pruning ปกติ
นิยมกระทําทุก 7-10 ป
สวนการตัดแตงชาที่มีความทรุดโทรมมาก เพื่อเปนการทําหนุมสาวใหม (rejuvinility) นั้น ไมมี
เวลากําหนดที่แนนอน ขึ้นอยูกับสภาพของตนชาเปนหลัก สําหรับชาที่ขาดการดูแลรักษาจะทรุดโทรม
เร็วกวาชาที่มีการดูแลรักษาดี ซึ่งจําเปนตองทําหนุมสาวใหม (rejuvinility) กอน โดยการตัดชาทั้งตนที่
ระดับคอดิน และปลอยใหมีการแตกกิ่งตั้งทรงพุมใหม ซึ่งใชเวลาประมาณ 3 ป จึงจะเริ่มใหผลผลิตได
ใหม การตัดแตงแบบนี้ เรียกวา Collar Pruning
5. การใสปุย
การบํารุงรักษาตนชาเพื่อใหมีอายุใหผลผลิตไดนาน การใหปุยมีความจําเปนมากควรเนนให
ปุยคอก ปุยหมักในปริมาณมากในทุก ๆ ป โดยใหปุยหมักจากเปลือกถั่วเหลือง เปลือกถั่วลิสง กาก
ขาวโพด หรือวัสดุที่หาไดงายในทองถิ่น ใหอัตรา 6-10 ตันตอไรตอป แบงใส 2 ครั้งตอป ในชวงตนฤดู
ฝนและหลังทําการตัดแตงใหญในชวงตนฤดูหนาวซึ่งเปนชวงตนชาพักตัวอีกครั้ง
ในสวนของการใสปุยเคมี ในไตหวันใหปุยสูตร 20-5-5 โดยหลังจากทําการเก็บผลผลิตทุกครั้ง
และตัดแตงกิ่งชาแลว เวนระยะเวลาประมาณ 15 วัน จึงทําการใสปุยประมาณตนละ 30 กรัมเพราะ
ชวงนี้ตนชาจะสรางรากฝอยบริเวณทรงพุมจํานวนมาก แสดงถึงความตองการอาหารของ ตนชานั่นเอง
หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 วัน ใสปุยอีกครั้งอัตราเทากับครั้งแรก ฉะนั้นรวมระยะเวลาของการใส
ปุยเคมีจํานวนสองครั้งเปนเวลา 25 วัน ซึ่งจะเหลือระยะเวลาประมาณ 20-25 วัน กอนการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตใบชา จะไมมีการใหปุยและฉีดพนสารเคมีตาง ๆ ใหกับตนชา เพราะจะทําใหใบชาดูดซับกลิ่น
ของสารตาง ๆ เหลานั้นไว เมื่อทําการแปรรูปชากลิ่นของสารตาง ๆ ดังกลาวจะทําใหชาเสียความหอม
และรสชาติของชาไป
สําหรับการใหปุยเคมีแกตนชาของเกษตรกรในประเทศไทย สามารถปรับเปลี่ยนสูตรปุยเพื่อ
ใหเหมาะกับชนิดปุยที่เกษตรกรใชอยูทั่วไป คือ ใชสูตร 15-15-15 ผสมกับสูตร 46-0-0 ในอัตราสวน
1 ตอ 1 สวน ใหตามอัตราและระยะเวลาที่กลาวขางตน อนึ่ง การใหปุยที่มีปริมาณธาตุไนโตรเจนสูง
เกินไปจะทําใหกลิ่นหอมของชาที่แปรรูปไดลดลง ใบชาที่แปรรูปแลวมีสีดํา โดยจะเหมาะสําหรับการทํา
ชาเขียวมากกวา 45
6. การใหน้ํา
การปลูกชาของเกษตรกรรายยอยทางภาคเหนือของประเทศไทย สวนใหญมักไมคํานึงถึง
ระบบการใหน้ําแกตนชาในแปลงปลูก ซึ่งในความเปนจริงแลว ระบบการชลประทานแกพืชในแปลง
ปลูกควรตองคํานึงถึงตั้งแตเริ่มแรก ทั้งนี้เนื่องจากการปลูกพืชโดยไมมีระบบชลประทานที่ดี มักประสบ
ปญหาการขาดน้ําของชาในระยะชายังมีอายุนอย และในชวงฤดูแลง ถึงแมวาชาจะเปนพืชที่คอนขาง
ทนทานตอสภาพแวดลอมที่ไมเหมาะสมไดดี แตการเกิดการขาดน้ําในชวงตนกลาจะทําใหตนกลาชา
ตายได หรืออาจสงผลใหชาชะงักการเจริญเติบโต สวนในสวนชาที่ใหผลผลิตแลว สภาพการขาดน้ําจะ
ทําใหผลผลิตชาลดลงได
การใหน้ําแกแปลงปลูกกระทําไดหลายวิธี เชน การปลอยน้ําทวมแปลง การใหน้ําตามรอง
ระหวางแถวปลูก หรือ การปลอยใหน้ําไหลตามความลาดเอียงของขั้นบันได (ไมควรเกิน 5 เปอรเซ็นต)
การใหน้ําดวยระบบพนฝอย หรือการใหน้ําดวยระบบน้ําหยด
ในสภาพแปลงปลูกในพื้นที่ ๆ มีขอจํากัดเกี่ยวกับปริมาณน้ําในชวงฤดูแลง การใหน้ําแกแปลง
ปลูกจําเปนตองคํานึงถึงความสูญเสียน้ําจากการระเหยจากผิวดินโดยตรง ซึ่งสวนใหญเกิดจากการ
แผดเผาของแสงแดดที่เกิดตอผิวดินโดยตรง หรือการที่มีกระแสลมแรงก็สามารถทําใหเกิดการสูญเสีย
ความชื้นในดินไดทั้งสิ้น ดังนั้นในสภาพพื้นที่ลักษณะดังกลาว การใหน้ําแกแปลงปลูกควรกระทําควบคู
ไปกับการคลุมพื้นที่ดวย รูปแบบที่เหมาะสมสําหรับการใหน้ําในสภาพพื้นที่ดังกลาวคือการใหน้ําแบบ
น้ําหยด หรือการใชระบบพนฝอยในระดับต่ํา ๆ ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียความชื้นจากกระแสลม สําหรับ
พื้นที่ปลูกที่ไมมีกระแสลมแรง และทรงพุมชาสามารถปกคลุมพื้นที่ไดมาก การใหน้ําโดยใชระบบพน
ฝอย นาจะเปนวิธีที่สะดวกกวาวิธีการอื่น ๆ เพราะนอกจากตนชาจะไดรับความชื้นไดอยางสม่ําเสมอ
แลว การใหน้ําวิธีนี้สามารถเพิ่มความชื้นสัมพัทธในอากาศไดดีอีกดวย แตการใหน้ําวิธีการอื่น ๆ จะทํา
ใหสิ้นเปลืองน้ําโดยเฉพาะฤดูแลง พื้นที่สูงสวนใหญจะขาดแคลนน้ํา ดังนั้น การใหน้ําโดยวิธีน้ําหยด
ประหยัดน้ําที่สุด ซึ่งเกษตรกรก็ตองพิจารณาตามความเหมาะสมระหวางปริมาณน้ําที่มีอยูและปริมาณ
พื้นที่แปลงปลูกชาตองเหมาะสมกัน
7. การคลุมดิน
การคลุมดินสวนใหญนิยมกระทําเพื่อรักษาความชื้นในดิน โดยเฉพาะในชวงฤดูแลง การคลุม
ดินยังมีประโยชนในแงของการลดปริมาณวัชพืชดวย นอกจากนี้วัสดุคลุมดินยังชวยใหอุณหภูมิของดิน
ไมแตกตางกันมาก ซึ่งเปนที่ตองการของชา และถาหากใชวัสดุคลุมที่สามารถยอยสลายได ก็จะ
สลายตัวเปนอาหารของชาได ตอไป แตวัสดุที่ใชคลุมดินควรเปนวัสดุที่ทางาย ราคาถูก และควร
สามารถขนสงไดสะดวก อยูใกลแหลงปลูกชา เชน แกลบดิบ เปลือกถั่วเหลือง เปลือกถั่วลิสง หรือฟาง
ขาว แลวถาหากวัสดุคลุมยอยสลายไปแลว หรือกําลังยอยสลายไปเปนปุยในดินตอไปก็ควรจะมีการใส46
เพิ่มเติมคลุมทับของเดิมอีก จะเปนการเพิ่มอินทรียวัตถุและการรักษาความชื้นในดินตลอดจนการ
ควบคุมวัชพืชไปดวย
8. การใหรมเงา
ในแปลงปลูกในเขตรอนที่มีความเขมแสงสูง การใหรมเงาแกแปลงปลูกเปนทางหนึ่งที่จะ
สามารถลดสภาพเครียดของชาอันเนื่องมาจากความเขมแสงที่สูงเกินความตองการของพืชได (โดย
ปกติระดับความเขมแสงที่เหมาะสมสําหรับชา ประมาณ 24,000 ลักซ) รมเงาสามารถแบงไดออกเปน
สองประเภท คือ รมเงาถาวร อันไดแกพืชรมเงาชนิดตาง ๆ และรมเงาชั่วคราว สวนใหญเปนรมเงาที่
มนุษยสรางขึ้นเพื่อวัตถุประสงคตาง ๆ
ขอดีและขอเสียของการใชไมบังรม
การใหรมเงาแกแปลงปลูกชาโดยใชไมบังรม สามารถกอใหเกิดประโยชนและโทษแก แปลง
ปลูกชาไดซึ่งจะแยกออกใหเห็น ดังนี้
ขอดีของการปลูกไมบังรมในแปลงปลูกชา
1. สามารถชวยปรับสภาพแวดลอมใหเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของชาได เชน สามารถ
ชวยลดระดับความเขมแสงใหมีระดับที่เหมาะสม สามารถรักษาความชื้นสัมพัทธในแปลงปลูกชาได
ดีกวาการปลูกชาในสภาพกลางแจง
2. พืชรมเงาบางชนิดสามารถเพิ่มธาตุอาหารในแปลงปลูกชาได โดยเฉพาะพืชรมเงาในพืช
ตระกูลถั่ว ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศใหอยูในรูปที่ชาสามารถดึงไปใชได การใชตนซิลเวอรโอค
เปนพืชรมเงา ใบแกของพืชชนิดนี้เมื่อสลายตัวสามารถปลดปลอยธาตุอลูมิเนียมออกมาเปนประโยชน
แกชาไดดี
3. ไมบังรมสามารถใชเปนเชื้อเพลิงในการแปรรูปชาได
4. ไมบังรมสามารถเพิ่มรายไดแกเกษตรกรผูปลูกชาได มีพืชรมเงาหลายชนิดที่สามารถสราง
รายไดเสริมแกผูปลูกชา เชน การปลูกพืชตระกูลมะแขวน (Zanthoxylum spp.) เปนพืชแซมหรือพืชรม
เงาแกแปลงปลูกชา โดยสามารถเพิ่มรายไดแกเกษตรกรไดดี (ประมาณ 2,000-3,000 บาท/ตน/ป)
5. การใหรมเงาสามารถเพิ่มคุณภาพของวัตถุดิบได
ขอเสียของการปลูกไมบังรมในแปลงปลูกชา
1. ไมบังรมแกงแยงอาหารจากตนชา
2. กิ่งและลําตนที่เกิดการหักโคนอาจทําความเสียหายแกตนชาที่ปลูกได
3. พืชรมเงาบางชนิด อาจเปนแหลงสะสมของโรคและแมลงได
ดังไดกลาวแลววา การใหตนชาไดรับสภาพรมเงาจะสามารถชวยเพิ่มคุณภาพของยอดชาสด
ได ทั้งนี้เพราะการใหตนชาไดรับรมเงา ปริมาณคลอโรฟลลในใบจะยังเหลืออยูในปริมาณมาก 47
เนื่องจากไมถูกทําลายจากแสง ชาที่ไดจากการแปรรูปดวยยอดชาที่มีปริมาณคลอโรฟลลสูง จะใหน้ํา
ชาของชาเขียวที่มีสีเขียวเขม นอกจากนี้การไดรับสภาพรมเงาจะทําใหปริมาณโปรตีนและกรดอะมิโน
เหลือสะสมในยอดมาก ทําใหชาที่แปรรูปมีรสชาติกลมกลอมกวาชาที่ปลูกในสภาพกลางแจง แต
อยางไรก็ดี การใหตนชาไดรับรมเงาทึบตอเนื่องกันเปนเวลานาน จะทําใหตนชามีการสะสมอาหารใน
กิ่งลดลง ซึ่งสงผลโดยรวมใหตนชาออนแอ
9. การเก็บเกี่ยวผลผลิตชา
การเก็บเกี่ยวผลผลิตชาที่ถูกตอง ควรปฏิบัติดังนี้
1. เก็บใบชาที่มี 1 ยอด กับ 2 ใบ หรือ 1 ยอด กับ 3 ใบ
2. ยอดชาไมควรออนหรือแกเกินไป ยอดที่ออนจะทําใหไดรสชาติขม ฝาด และจะไมมีกลิ่น
หอม ใบชาใบที่ 3 ไมควรแกเกินไป สัมผัสดูมีความออนนุมหรือสังเกตไดดวยสายตา ซึ่งใบสวนนี้จะให
กลิ่นหอมแตทั้งนี้หมายถึงตองมีใบและยอดดังกลาวประกอบกันทั้งหมด หากเก็บใบที่แกมากเมื่อคั่วจะ
ทําใหใบที่คั่วออกมาแหง ใบกรอบแตกงาย และมีสีเหลือง หรือหากจะใชอายุใบชาเปนเกณฑใหนับ
จํานวนวันหลังการตัดแตงกิ่ง โดยพันธุเบอร 12 มีอายุ 45-47 วัน ในพื้นที่ต่ํากวา 1,000 เมตรจาก
ระดับน้ําทะเล พื้นที่สูงกวา 1,000 เมตร ประมาณ 50-55 วัน สวนพันธุกานออนพื้นที่ต่ําประมาณ 47-50
วัน พื้นที่สูงประมาณ 60-65 วัน (ขึ้นอยูกับฤดูและสภาพอากาศในแตละชวง)
3. เก็บชาโดยใชความประณีตและนุมนวล เมื่อเก็บไดจํานวนประมาณ 4-5 ยอดควรรีบใส
ลงในตะกราเก็บชา ไมควรเก็บหรือกําไวในอุงมือนาน เพราะจะทําใหชาเสียหาย
4. ไมควรเก็บยอดชาในขณะที่ยังมีน้ําคางหรือน้ําฝนเกาะใบชา ตองรอใหน้ําที่เกาะใบชาแหง
เสียกอน จึงทําการเก็บใบชา
5. ในวันที่มีฝนตกควรงดการเก็บชา หากจะเก็บตองรอฝนหยุดและใบชาแหงดีแลว
6. หากมีฝนตกขณะเก็บใบชาและใบชาเปยกมาก นําใบชามาผึ่งในรมใชพัดลมเปาเพื่อไล
ความชื้นในใบชาเสียกอน
7. จัดสงใบชาที่ทําการเก็บไปยังโรงงานเพื่อทําการผึ่งแดดทุก 1.30 ชั่วโมง ไมควรเก็บใบชา
คางไวในตะกราเกิน 2 ชั่วโมง ควรแบงชวงการสงผลผลิตไปโรงงาน ดังนี้
- เก็บชาเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. สงโรงงานครั้งแรกเวลา 10.30 น.
- จัดสงชาครั้งที่สอง เวลาประมาณ 12.00 น.
- เริ่มเก็บชาเมื่อเวลา 12.30 น. สงโรงงานเวลา 14.00 น.
- สงผลผลิตชาเขาโรงงานครั้งสุดทายเวลาไมเกิน 15.30 น. 48
ใบชาที่ทําการเก็บทุกรุนในแตละวันควรไดรับการผึ่งแดดอยางทั่วถึงประมาณ 40 นาที ถึง 1
ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยูกับสภาพอากาศในชวงทําการผึ่งดวย
การเก็บยอดชาโดยใชเครื่องจักร วิธีการเก็บยอดชาดวยเครื่องจักรเหมาะสําหรับสวนที่มีขนาด
ใหญหรือสวนที่ปลูกชาในพื้นที่ที่สามารถใชเครื่องทุนแรงได การเก็บยอดชาดวยเครื่องจักรไมสามารถ
เลือกขนาดของยอดชาได ดังนั้นการเก็บยอดชาดวยวิธีนี้ จึงตองกําหนดเวลาการเก็บดวยการตัดแตง
ดังเชน ในประเทศญี่ปุนหลังจากทําการตัดแตงในชวงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ชาจะพักตัว และเริ่ม
แตกยอดใหมประมาณเดือนมีนาคม ยอดใหมนี้จะเก็บเกี่ยวไดในชวงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เปน
ตน แตอยางไรก็ดี การจัดสวนชาดวยวิธีนี้ จําเปนตองมีชวงเวลาในการจัดการดูแลรักษาดานตาง ๆ ที่
แนนอน
สําหรับการดูแลรักษาสวนชาที่ดียอมสงผลใหไดผลผลิตสูง และยอดมีคุณภาพดีเหมาะสําหรับ
การแปรรูปเปนชาชั้นดีชนิดตาง ๆ แตอยางไรก็ตาม คุณภาพชายังขึ้นอยูกับกระบวนการแปรรูป และ
ความชํานาญของผูควบคุมกระบวนการแปรรูปอีกดวย
10. การแปรรูปชา
การแปรรูปชา แบงได 2 สวนหลัก ดังนี้
1. การผึ่งชา
2. การทําเม็ดชา
1. การผึ่งชา มีขั้นตอนและวิธีการที่สําคัญ ดังนี้
1.1 การผึ่งแดด เมื่อผลผลิตใบชาสดสงถึงโรงงานหลังจากทําการชั่งน้ําหนักแลว จะทํา
การผึ่งชาดวยแสงแดดใชเวลา 40 นาทีโดยประมาณ หากวันดังกลาวมีแสงแดดดีจะทําการผึ่งแดด โดย
ไมใหใบชาสัมผัสแสงแดดโดยตรง ควรมีตาขายพรางแสงความถี่ประมาณ 60 % ปองกันความเขมของ
แสงแดด อุณหภูมิขณะผึ่งแดดไมควรเกิน 35 องศาเซลเซียส ในสภาพอากาศดีปฏิบัติดังนี้
ผึ่ง 10 นาที-----พลิกใบชา-----ผึ่ง 10 นาที-----พลิกใบชา-----ผึ่ง 20 นาที-----เขาหองผึ่ง จาก
การปฏิบัติดังกลาวจะใชเวลา 40 นาที หากสภาพอากาศไมดีมีฝนตกหรือทองฟาครึ้มตองใชเวลามาก
ขึ้นอาจผึ่งใชเวลา 1 ชั่วโมง การปฏิบัติดังกลาวเปนเพียงหลักการแตจะทําการสังเกตจากสภาพใบชา
รวมดวย กลาวคือผึ่งแดดจนใบชาไมมีความมันวาว ผิวใบชานิ่มเหมือนสัมผัสเนื้อผา (ใบชากอนทําการ
ผึ่งแดดจะมีความมันวาวและแข็งกระดาง) การผึ่งแดดบนผาผึ่งชาควรกระจายใบชาใหมีความบางที่
สม่ําเสมอเพื่อที่ใบชาจะไดรับแสงแดดเทา ๆ กันทุกใบ ซึ่งแสงแดดเมื่อสองทะลุใบชาจะทําให
เกิดปฏิกิริยาทางเคมีและปฏิกิริยาทางกายภาพของใบชา เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ เกิดการเคลื่อนตัว49
ของน้ํา ของเหลว และสารที่ใหรสชาติและกลิ่นหอมภายในใบชา (สารดังกลาวจะมีเฉพาะในใบชา
ใบไมชนิดอื่นจะไมมี) สวนลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ใบชาจะออนนุมและไมเปนมัน
วาว การผลิตชามีการผลิตใน 3 รูปแบบ ไดแก ชารสชาติออน ชารสชาติกลาง และชารสชาติเขม สวน
ใหญผูบริโภคทั่วไปนิยมดื่มชารสชาติออนมากกวารสชาติอื่น ซึ่งมีหลักวิธีการในการผึ่งแดด ดังนี้
หลักการ/วิธีการ รสชาติออน รสชาติกลาง รสชาติเขม
1. ความชื้นที่หายไปหลังผึ่งแดด 8 % 15 -17 % 25 -27 %
2. น้ําหนักสุทธิคงเหลือหลังผึ่งแดด 82 % 83 -85 % 73 -75 %
3. เวลาที่ทําการผึ่ง (โดยประมาณ) 40 นาที –1 ชั่วโมง 1.30 –2 ชั่วโมง 3 –4 ชั่วโมง
* ใชปริมาณชาสด 100 กิโลกรัมเปนเกณฑเปรียบเทียบ
1.2 การผึ่งในรม เมื่อผานขั้นตอนการผึ่งแดดแลว นําชาเขาผึ่งในรมในหองที่ควบคุม
ความชื้นและอุณหภูมิ ความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการผึ่งชาในรม คือ ความชื้นสัมพัทธ 80 %
และอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส นําชาผึ่งในกระดงไมหนามาก พักไวบนชั้นผึ่ง หลังจากนั้นทําการพลิก
ใบชาเบา ๆ ทุก 2 ชั่วโมง จํานวน 3 ครั้ง ชวงนี้ใบชาจะคายน้ําโดยคายน้ําออกบริเวณใตใบ ผานรูขุมขน
ที่อยูบริเวณใตใบ การพลิกชาทุก 2 ชั่วโมง เปนการหยุดการคายน้ําชั่วคราว เมื่อทําการผึ่งใบชาจะ
ทําการคายน้ําตอไป เหตุผล คือ จะตองใหใบชาคายน้ําแตเปนไปตามกระบวนการอยางชา ๆ ซึ่งทั้งนี้
สารประกอบที่สําคัญในใบชามีหลายชนิด สวนประกอบที่เปนน้ําเปนสวนที่ไมตองการ จะตองทําให
เกิดการคายน้ําออกไป แตน้ํามีประโยชนในการเคลื่อนสารประกอบที่สําคัญในใบชาเพื่อการทํา
ปฏิกิริยาตาง ๆ ในใบชาที่ผานกระบวนการผึ่งแดด การผึ่งในรม การกระตุนใบชา และการหมักใบชา
นั่นเอง
1.3 การหมักใบชา หลังจากทําการผึ่งชาในหองและทําการกระตุนดวยการพลิกใบชา
จํานวน 3 ครั้งจนครบ หลักสําคัญในการพลิกใบชาเพื่อควบคุมใหน้ําในใบชาออกตามรูขุมขนที่อยูใตใบ
ชา (ออกจากสวนที่ถูกตอง) หากทิ้งไวโดยไมมีการพลิกชา น้ําก็จะออกไปเชนกัน แตชาจะไมมีกลิ่นหอม
เพราะสารที่ใหกลิ่นหอมและรสชาติจะหายไปดวย จากนั้นใหนําใบชาเขาเครื่องเขยาใชเวลาประมาณ 20
นาที โดยใชรอบเดินเครื่องเขยาชาที่สุด หากเขยาโดยใชรอบสูงจะทําใหใบชาช้ํา ใบชามีสีแดง เกิด
ความเสียหายแกใบชาไดงาย ซึ่งชวงแรกของการเขยาใบชาจะมีกลิ่นเหม็นเขียวที่รุนแรง ทําการเขยา
จนกระทั่งกลิ่นเหม็นเขียวคอย ๆ หมดไปจากใบชา เริ่มมีกลิ่นหอมของใบชาที่แทจริง เมื่อครบเวลาเขยา
แลวนําใบชาใสกระดงเพื่อทําการหมักใบชาใหเกิดกลิ่นหอม การหมักจะใสใบชาในกระดงมีปริมาณที่
มากขึ้นประมาณสี่เทา (ประมาณ 4.5 กิโลกรัม) เมื่อทําการกระตุนใบชาดวยการพลิกใบชาแลว หมักใบ50
ชาไวในกระดงอีก 2-3 ชั่วโมง เมื่อเวลาผานไปประมาณ 2 ชั่วโมง ใหดมกลิ่นใบชาที่หมักไวจะมีการ
เปลี่ยนแปลงโดยมีกลิ่นหอมของชามากขึ้น กลิ่นเหม็นเขียวเริ่มหมดไปหรือใชการสังเกตจากสภาพใบ
ชาที่ทําการหมักไว ดังนี้
จุดสังเกต รสชาติออน รสชาติกลาง รสชาติเขม
1. กานใบ สีเหลืองออน สีเหลืองทอง สีเหลืองเขม
2. ใบ สีเขียวปนเหลือง สีเหลือง สีแดง
ขั้นตอนทั้งสามขั้นตอนมีความสําคัญมาก ชาที่คั่วออกมาจะรสชาติดี มีกลิ่นหอมหรือไม ตอง
ผานกระบวนการที่ดีและถูกตอง หากคั่วแลวมีกลิ่นหอมแสดงวาขั้นตอนที่ 1-3 ทําไดดี
1.4 การคั่วชา จุดประสงคหลักของการคั่วใบชา คือ ตองการที่จะหยุดปฏิกิริยาภายในใบ
ชาที่มีความหอมที่ถึงจุดสูงสุด เปนการคงความหอม รสชาติ ดวยการใชความรอน โดยใชอุณหภูมิ 300
– 320 องศาเซลเซียส ปริมาณชาที่เขาคั่วแตละครั้ง จํานวน 9 กิโลกรัม ใชความเร็วรอบสูงในชวงการคั่ว
ระยะแรก เพื่อไลกลิ่นเหม็นเขียวออกไป เมื่อคั่วไปไดประมาณ 3-4 นาที จะเริ่มมีกลิ่นหอมใหสูดดม
กลิ่นของไอที่ออกมาจากเครื่องคั่วชา หากมีความหอมของชาที่แทจริง (ไมใชกลิ่นเหม็นเขียว) ใหลด
ความเร็วรอบของเครื่องคั่วชาลงเพื่อใหไดใบชาสุกสม่ําเสมอและใบชาไมแหงเกินไป ใชเวลาในการคั่ว
ประมาณ 7 นาที จึงเทชาที่คั่วใสถุงผานําเขาเครื่องนวดทั้งถุงผาใชเวลา 2 นาที นําชามาสาง 1 นาที
แลวหอในผาทําการนวดอีกครั้ง ใชเวลา 1 นาที ทําการสางใบชาผึ่งไวในกระดงเพื่อรอใหมีปริมาณมาก
พอที่จะนําเขาเครื่องอบแหงพรอม ๆ กัน เมื่อทําการอบแหงครบทุกชุดแลว ใชผาผึ่งชาปูพื้นแลวจึงนํา
ใบชาทั้งหมดเทกองรวมกันแลวใชผาปดทับไว เพื่อรอการปนเม็ดชาหรือทําเม็ดชาในวันรุงขึ้น
หลักการคั่วที่ถูกตอง คือ
1. คั่วใหสุก
2. คั่วใหสม่ําเสมอ ใหไดรับความรอนที่ทั่วถึง
3. คั่วใหกลิ่นเหม็นเขียวหายไป มีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้น
ซึ่งหากการคั่วใบชาไดที่และสมบูรณถูกตอง สามารถสังเกตไดจากการที่กลิ่นเหม็นเขียว
หมดไป จับใบชาจะเริ่มแหงแตมีความหนืดอยูและเมื่อลองดึงบริเวณกานใบชาจะมีเนื้อเยื่อติดมาดวย
แสดงวาคั่วสุกไดที่ 51
2. การทําเม็ดชาหรือการปนเม็ดชา
1. เริ่มดวยการนําใบชาเขาเครื่องอบแหงหนึ่งรอบ ชั่งน้ําหนักชาประมาณ 12 กิโลกรัมตอ
หอผา ทําการปนเม็ดโดยการหอผา นําเขาเครื่องนวดอัดเม็ดใชเวลา 5-6 นาที ปนเม็ดและเขาเครื่อง
นวดอัดเม็ดอีกรอบ ในรอบที่สาม ใบชาจะเริ่มเย็นตองนําชาอุนในเครื่องคั่วกอนเปนการอุนรอนและทํา
การปนเม็ดชาและเขาเครื่องนวดอัดเม็ดอีกสามครั้งเปนการอุนเย็น จะทําการอุนรอนและอุนเย็นโดย
เริ่มตั้งแตรอบที่ 3 เปนตนไป จนครบจํานวน 6 รอบ ในกรณีที่มีปริมาณชานอยใหทําการหมักชาทิ้งไว
ประมาณ 10-15 นาทีตั้งแตรอบที่ 3 หากชามีปริมาณมากไมจําเปนตองทําการหมักใหดําเนินการตาม
กระบวนการไปเรื่อย ๆ
2. ทําการปนเม็ดชาใหมีความกลมแนน โดยใชเครื่องนวดอัดเม็ดรูปดอกบัว ทั้งนี้ อาจใช
จํานวนรอบเพิ่มขึ้นจนแนใจวาแนนและกลมดีแลว พักชาไวในหอผาประมาณ 30 นาที จึงนําชาเขา
เครื่องอบแหงที่ตั้งอุณหภูมิไวที่ 100 องศาเซลเซียส จํานวน 3 รอบ เหลือความชื้นประมาณ 4 % เมื่อ
ความรอนในตัวชาลดลงจึงบรรจุใสถุงพลาสติกกันความชื้นเพื่อรอการบรรจุจําหนายตอไป
11. การทดสอบคุณภาพชา
หลังจากผานกระบวนการแปรรูปตามขั้นตอนตาง ๆ มาแลว จะตองทําการทดสอบคุณภาพ
ของชาที่ทําการแปรรูปในชุดนั้น ๆ เพื่อประเมินคุณภาพและตีราคา ตามปกติชาคุณภาพดีที่สุดสําหรับ
ประเทศไทยเปนผลผลิตชาชวงตนฤดู (ระหวางปลายเดือนกุมภาพันธ-เมษายน) และชาปลายฤดู
(ระหวางเดือนตุลาคม-ธันวาคม) แตทั้งนี้จะมีผลผลิตชาออกมามากโดยเฉพาะในชวงฤดูฝน
เพราะฉะนั้นผลผลิตชาที่ไดจะขึ้นอยูกับสภาพอากาศในวันแปรรูป และสภาพใบชาที่ทําการเก็บเกี่ยวใน
วันนั้น ๆ ดวย หากชวงการแปรรูปทางผูทําการแปรรูปเขาใจหลักการในการแปรรูป โดยนําเครื่องมือที่มี
อยูมาปรับใชหรือปรับวิธีการปฏิบัติใหเหมาะสมกับสถานการณก็จะสามารถทําการแปรรูปชาแตละคุน
การผลิตใหมีรสชาติและคุณภาพที่ใกลเคียงกันตลอดทั้งป
ปจจัยสําคัญที่มีผลตอคุณภาพชา
1. ระดับพื้นที่ปลูก การปลูกชาในพื้นที่ที่มีความสูงมากกวายอมทําใหผลผลิตชาที่ดีกวาทั้ง
ดานกลิ่นหอมและรสชาติ ในไตหวันมีสภาพเปนเกาะมีสภาพพื้นที่ปลูกดีกวาประเทศไทย มีการแบงฤดู
หรือสภาพอากาศแตละชวงที่ชัดเจน
2. คุณลักษณะของดินปลูก ดินแดงเหนียวเหมาะสมในการปลูกชามากที่สุด บนที่สูงทาง
ภาคเหนือของประเทศไทยสวนใหญ ดินจะเปนดินรวนปนดินเหนียวแดง จึงเหมาะสําหรับการปลูกชา
จีน ซึ่งจะใหผลผลิตชาคุณภาพดีกวาดินชนิดอื่น ๆ ดินแดงที่มีทรายปนมาก ๆ จะทําใหชามีรสขม 52
3. ฤดูกาล ผลผลิตชาแปรรูปชวงฤดูฝนจะมีรสชาติขมมากกวาชวงฤดูแลงหรือฤดูหนาวซึ่ง
ชวงฤดูหนาวรสชาติจะดีที่สุด
ตารางเปรียบเทียบรสชาติชาคุณภาพดีและคุณภาพไมดี
ชาที่คุณภาพดี ชาคุณภาพไมดี
1. มีกลิ่นหอม (ความหอมและรสชาติจะออกมา
พรอมกัน ในชวงเวลาของการชิมชา)
1. กลิ่นไมหอม (ตองเปนกลิ่นหอมที่เกิดจากใบชาที่
แปรรูปไมมีกลิ่นอื่นปรุงแตง)
2. มีความชุมคอ 2. ดื่มไมลื่นคอ ไมชุมคอ
3. ดื่มงาย ไมมีรสขม ฝาด 3. มีรสขม ฝาด (รสฝาดและขม ไมสามารถแยกแยะ
ไดจากการดมกลิ่น)
4. มีความเขมของรสชาติชาที่แทจริง 4. รสชาติออน
สําหรับรสชาติ กลิ่นหอมของชาแตละสายพันธุสามารถแยกแยะไดจากการทดสอบรสชาติ
ซึ่งตองใชความชํานาญและประสบการณที่ไดรับการฝกฝนมาเปนเวลานาน สามารถแยกแยะวา ชา
ที่ชิม ปลูกในระดับความสูงเทาใด เปนพันธุอะไร มีกลิ่นของสิ่งแปลกปลอม เชน ปุย สารเคมีหรือไม
ในระหวางการแปรรูปมีความผิดพลาดในขั้นตอนใดบาง
กอนการทดสอบคุณภาพของชาทั้งดานกลิ่นและรสชาติ จะตองทราบถึงประสาทรับรสตาง ๆ
ภายในชองปากวาสวนใดรับรสชาติใด เพื่อสามารถแยกแยะรสชาติของชาไดอยางถูกตอง แมนยํา
จะเห็นไดวาภายในชองปากและลิ้น มีประสาทรับรสชาติที่แตกตางกันไปในแตละสวน สามารถ
แยกแยะรสชาติที่แตกตางกันของน้ําชาและอาหารตาง ๆ ไดดี 53
เอกสารอางอิง
กรมวิชาการเกษตร. 2544. ชา. ผลงานวิชาการประจําป 2543 เลม 3. เอกสารประกอบการประชุม
วิชาการประจําป 2544. น. 151 – 163.
ดุสิต อุสาหะ และเกตุอร ราชบุตร. 2531. การปลูกชาและการทําชาจีน. คําแนะนําที่ 131. กรม
สงเสริมการเกษตร. 21 น.
มานพ หาญเทวี. 2541. การเปรียบเทียบพันธุชาจีนพันธุการคา. รายงานการสัมมนาทาง
วิชาการ เรื่อง งานวิจัยการเกษตรที่สูงของสวนราชการและรัฐวิสาหกิจในการรับรองและ
สนับสนุนโครงการหลวง. กองพัฒนาเกษตรที่สูง, เชียงใหม. น. 178
วิวัฒน ภาณุอําไพ ดุสิต อุสาหะ สนอง จรินทร และสมาน ภักดี. 2541. การรวบรวมและ
อนุรักษเชื้อพันธุชา. รายงานผลการวิจัยประจําป 2541 – 2542. ศูนยวิจัยเกษตรหลวง
เชียงใหม สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. น. 74- 85.
สัณห ละอองศรี. 2535. ชา. โครงการหลวงวิจัยชา สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแมโจ. สํานักพิมพรั้ว
เขียว, กรุงเทพฯ. 166 น
สมพล นิลเวศน. 2544. การปลูกชาและการดูแลรักษาสวนชา. เอกสารประกอบการฝกอบรม
ตามโครงการพัฒนาตลาดเพื่อสนับสนุนการกระจายผลผลิตในระดับจังหวัด. ศูนยวิจัยพืช
สวนเชียงราย, เชียงราย. 10 น.
สมพล นิลเวศน. 2543. งานวิจัยและพัฒนาการผลิตชา. รายงานการสัมมนาวิชาการ พ.ศ. 2543
เรื่อง งานวิจัยและพัฒนาการเกษตรในเขตภาคเหนือตอนบน. สํานักวิจัยและพัฒนาการ
เกษตร เขตที่ 1, เชียงใหม. น. 65 – 71.
สมพล นิลเวศน. 2541. การรวบรวมและศึกษาชาจีนลูกผสมในสภาพที่สูง. รายงานการสัมมนา
ทางวิชาการเรื่อง งานวิจัยการเกษตรที่สูงของสวนราชการและรัฐวิสาหกิจในการรับรองและ
สนับสนุนโครงการหลวง. กองพัฒนาเกษตรที่สูง, เชียงใหม. น. 175.
สมพล นิลเวศน เกษม ทองขาว พันธศักดิ์ แกนหอม และธวัชชัย ศศิผลิน. 2544. รวบรวมและ
ศึกษาพันธุชาจีนลูกผสมในสภาพพื้นที่สูง. รายงานการประชุมวิชาการ ผลงานวิจัยของ
มูลนิธิโครงการหลวง ประจําป 2543. ฝายวิจัย มูลนิธิโครงการหลวง, เชียงใหม. น. 95 – 107. 54
สมพล นิลเวศน ถนอม ไชยปญญา และอุทัย นพคุณวงศ. 2541ก. การศึกษาวิธีการตัดแตงทรง
พุมที่เหมาะสมสําหรับการผลิตชาบนที่สูง. รายงานผลงานวิจัย ประจําป 2541 – 2542.
ศูนยวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. น. 117 – 135.
สมพล นิลเวศน ถนอม ไชยปญญา และอุทัย นพคุณวงศ. 2541ข. การศึกษาวิธีการผลิตชา
เขียว. รายงานผลงานวิจัย ประจําป 2541 – 2542. ศูนยวิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม
สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. น. 136 – 151.
เหมยอิงแซหลอ. 2541. การปลูกและแปรรูปชาจีน. รายงานการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องเทคโนโลยี
การผลิตชาจีน. มูลนิธิโครงการหลวงรวมกับ ATM–ROC. กองพัฒนาเกษตรที่สูง, เชียงใหม.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น